5/12/2556

3 วิธีช่วยให้แท็บเล็ตที่รองรับแต่ WiFi สามารถใช้งาน 3G ได้


หนึ่งในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไอทีที่ได้รับความนิยมสูงขึ้นมามากในระยะหลังๆ ก็คือบรรดาแท็บเล็ตไม่ว่าจะขนาดเล็ก (ช่วงขนาดจอ 7 นิ้ว) หรือขนาดใหญ่ๆ (ช่วงจอ 9 นิ้วเป็นต้นไป) เนื่องด้วยหน้าจอที่ใหญ่ มองได้สบายตา เหมาะทั้งสำหรับการใช้งานทั่วไป เช่นเล่นเว็บ,​ โซเชียลเน็ตเวิร์ค, แก้ไขเอกสาร หรือจะใช้สำหรับการเล่นเกมก็ได้เช่นเดียวกัน ประกอบกับปัจจุบัน แท็บเล็ตมีหลายช่วงราคาให้เลือก ตั้งแต่แท็บเล็ตจีนราคาเริ่มต้นแค่พันกว่าบาท ไปจนถึง iPad 4 ที่มีราคาแพงสุดถึงเกือบ 30,000 บาทเลยทีเดียว ทำให้การใช้งานแท็บเล็ตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
แต่หนึ่งปัจจัยที่จะช่วยให้แท็บเล็ตสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ ก็คือการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต เพราะในปัจจุบัน แอพพลิเคชัน/เกมทั้งหลายแทบจะต้องใช้งานอินเตอร์เน็ตกันทั้งนั้น ซึ่งถ้าเราใช้งานอยู่แต่ในจุดที่มี WiFi ให้ใช้งานก็คงไม่ใช่เรื่องลำบากอะไร แต่ถ้าจำเป็นต้องออกไปใช้งานนอกสถานที่ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงประสบปัญหา ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ เนื่องจากตัวของแท็บเล็ตไม่รองรับการใช้งาน 3G หรือไปเจอ WiFi Hotspot แต่ก็ไม่สามารถใช้งานได้ เพราะไม่มีรหัสผ่าน ในบทความนี้เรามี 3 วิธีช่วยให้แท็บเล็ตที่รองรับแต่ WiFi สามารถใช้งาน 3G ได้มาเป็นทางเลือกให้ทุกท่านครับ มาดูแต่ละวิธีกันเลย
1. ให้สมาร์ทโฟนกระจายสัญญาณแบบ Tethering ให้
สมาร์ทโฟนแทบจะทุกรุ่นในปัจจุบัน สามารถใช้งานในการกระจายสัญญาณ 3G หรือที่เรียกว่า WiFi Hotspot / WiFi Tethering ได้ทั้งนั้น ซึ่งเราก็สามารถนำความสามารถในจุดนี้มาช่วยในการใช้งานแท็บเล็ตได้โดยการกระจายสัญญาณ 3G ในมือถือออกมาเป็นสัญญาณ WiFi เพื่อให้แท็บเล็ตเชื่อมต่อและใช้งานอินเตอร์เน็ตได้ อีกทั้งนอกจากกระจายออกมาเป็น WiFi แล้ว ในบางระบบปฏิบัติการยังสามารถเลือกจะกระจายออกมาในแบบอื่นๆ ได้อีก เช่น Bluetooth หรือผ่านสายที่เชื่อมต่อเข้ากับพอร์ต USB ก็ยังได้ ส่วนวิธีการปล่อยสัญญาณ 3G มาเป็น WiFi Hotspot ใน 3 ระบบปฏิบัติการยอดนิยม ก็มีดังนี้ครับ
iOS
IMG_0005IMG_0002
เบื้องต้น iPhone หรือ iPad รุ่นที่เชื่อมต่อ 3G ได้ จะต้องเปิดการใช้งาน Cellular Data ก่อนนะครับ โดยให้เข้าไปที่ Settings > General แล้วเปลี่ยนที่หัวข้อ Cellular Data ให้เป็น On ซะ ส่วนที่หัวข้อ Enable 3G นั้นเป็นตัวเลือกสำหรับสลับว่าจะใช้การเชื่อมต่อแบบ 3G หรือไม่ ถ้าเลือกปิด ก็คือเป็นการใช้การเชื่อมต่อแบบ EDGE ครับ ถ้าต้องการใช้ความเร็วเต็มที่ ก็ให้เลือก On ไว้
IMG_0003IMG_0004
จากนั้นก็เปิดใช้งาน Personal Hotspot โดยเลือกไปที่หัวข้อ Personal Hotspot แล้วกดสวิทช์ให้เป็น On ส่วนรหัสสำหรับล็อกอินก็คือรหัสที่อยู่ในหัวข้อ Wi-Fi Password ซึ่งสามารถเปลี่ยนได้ด้วยการกดลงไปที่หัวข้อดังกล่าว แล้วเปลี่ยนรหัสได้ตามใจชอบเลย
Android
and (3)and (2)
Screenshot_2013-04-19-16-21-29
ตัวของ Android นั้นก็สามารถทำ Tethering Hotspot ได้กับมือถือแทบทุกเครื่องแล้ว ซึ่งวิธีการของแต่ละเครื่องก็จะคล้ายๆ กัน โดยการเข้าไปที่เมนู Settings > More… > Tethering & Portable Hotspot แล้วเปิดใช้งานที่หัวข้อ Portable Wi-Fi hotspot ซึ่งในเรื่องของลักษณะการวางเมนูนั้นก็อาจจะแตกต่างกันไปตามรอมของแต่ละแบรนด์และรุ่น แต่หลักๆ ก็จะใช้คำที่ใกล้เคียงและสื่อความหมายไม่ต่างจากกันมากนัก ส่วนรหัสผ่านสำหรับใช้งาน WiFi Hotspot ที่เปิดจากสมาร์ทโฟน Android นั้น สามารถเข้าไปดูและเปลี่ยนได้จากเมนู Set up Wi-Fi Hotspot
นอกจากการเชื่อมต่อแบบ WiFi แล้ว ยังสามารถเชื่อมต่อผ่านทาง Bluetooth ได้ด้วยเช่นเดียวกัน โดยการเลือกหัวข้อ Bluetooth tethering แทน (รูปขวาล่าง) ซึ่งการจะใช้งาน Bluetooth Tethering นี้ ทั้งเครื่องรับและเครื่องส่งต้องทำการ pair เข้าหากันด้วย ซึ่งถ้าจะให้เลือกว่าจะใช้งาน WiFi หรือ Bluetooth แนะนำว่าแบบ WiFi จะใช้งานได้ง่ายกว่าครับ
Windows Phonewp (3)
wp (2)wp (1)
สมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows Phone ทุกเครื่องก็สามารถใช้เป็นตัวกระจายสัญญาณ 3G ในรูปแบบ WiFi Hotspot ได้เช่นเดียวกัน โดยการใช้งานก็ให้เข้าไปที่ Settings > Internet Sharing จากนั้นก็เปลี่ยนสวิทช์ตรงหัวข้อ Sharing ให้เป็น On ซะ ส่วนใครที่ต้องการเปลี่ยนรหัสผ่านเข้าใช้งาน ก็ให้กดที่ปุ่ม setup ก็จะสามารถเปลี่ยนชื่อ Hotspot รวมถึงรหัสผ่านได้แล้ว
ข้อดีของการใช้งาน WiFi Tethering จากมือถือ
  • ใช้งานโปร 3G จากซิมเดียว ทำให้ค่าใช้จ่ายไม่สูง คุมค่าใช้จ่ายได้ง่าย
  • สะดวกต่อการใช้งาน เพราะหลายๆ คนก็ใช้งานสมาร์ทโฟนกันอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องพกอุปกรณ์เพิ่มเติม/ซ้ำซ้อน
ข้อจำกัดของการใช้งาน WiFi Tethering จากมือถือ
  • เครื่องที่กระจาย 3G แบตเตอรี่จะหมดเร็วกว่าปกติ
2. ใช้งานแอร์การ์ดผ่านพอร์ต USB
DSC_0047
แท็บเล็ตหลายๆ รุ่นในปัจจุบัน โดยเฉพาะแท็บเล็ตจีน มักจะมาพร้อมกับความสามารถการเชื่อมต่ออุปกรณ์ภายนอกผ่านทางพอร์ต Micro USB ซึ่งมีชื่อเรียกฟีเจอร์ว่า USB OTG (USB On the Go) ที่สามารถเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลายชนิดเช่น แฟลชไดร์ฟ, คีย์บอร์ด,​ เม้าส์ รวมไปถึงแอร์การ์ดสำหรับใช้งาน 3G ได้อีกด้วย โดยอุปกรณ์ที่ต้องใช้ก็ได้แก่
  • สาย USB OTG ซึ่งสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์มือถือ ลักษณะของสายคือข้างหนึ่งจะเป็นหัว Micro USB ตัวผู้ ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นพอร์ต USB ตัวเมียขนาดเต็ม
  • แอร์การ์ดที่สามารถใช้งาน 3G กับซิมที่รองรับได้ (แนะนำว่าให้ทำการ activate ซิมการ์ดและจัดการเรื่องโปรโมชัน 3G บนมือถือให้เรียบร้อยก่อนนำมาใช้งานกับแอร์การ์ดนะครับ)
การใช้งานนั้นก็ง่ายมาก เพียงแค่เสียบสาย USB OTG เข้ากับตัวแท็บเล็ต จากนั้นก็นำแอร์การ์ดมาเสียบเข้ากับพอร์ต USB แล้วรอซักพักก็สามารถใช้งานได้แล้วครับ
 
ข้อดีของการใช้งานแอร์การ์ด
  • สามารถนำแอร์การ์ดไปใช้งานกับโน้ตบุ๊กหรือแท็บเล็ตเครื่องอื่นๆ ได้ด้วย
  • ไม่ต้องกลัวใครเข้ามาแอบใช้งาน เพราะใช้การเชื่อมต่อผ่าน USB
ข้อจำกัดของการใช้แอร์การ์ด
  • ต้องซื้อสาย USB OTG มาใช้งาน ซึ่งแท็บเล็ตบางเครื่องอาจไม่รองรับฟีเจอร์นี้
  • ขณะใช้งานอาจรู้สึกรำคาญสายและแอร์การ์ดที่ห้อยอยู่
  • แอร์การ์ดจะใช้ไฟจากแท็บเล็ต จึงอาจทำให้แบตเตอรี่ใช้งานได้ระยะเวลาน้อยลง
  • อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะต้องใช้ซิมการ์ดอีกใบ+โปรโมชัน 3G
3. ใช้งานอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 3G แบบพกพา
ถ้าใครคิดว่าสองวิธีข้างต้นนี้ไม่สะดวกเท่าไร ข้อนี้น่าจะเป็นจุดที่ลงตัวสำหรับหลายๆ คนครับ นั่นคือการใช้งานอุปกรณ์กระจายสัญญาณ 3G ออกมาในรูปแบบ WiFi Hotspot ซึ่งอุปกรณ์ประเภทนี้หลายๆ คนน่าจะคุ้นหูคุ้นตากันในชื่อ MiFi (เป็นชื่อทางการตลาด ไม่ใช่ชื่อกลางของอุปกรณ์ประเภทนี้) โดยตัว MiFi นั้นพูดง่ายๆ มันก็คือแอร์การ์ดที่กระจาย WiFi ออกมาได้นั่นเองครับ ซึ่งจะสะดวกต่อการใช้งานมากกว่า วิธีการใช้ก็แค่เสียบซิมการ์ด (ที่จัดการเรื่องการ activate และเลือกโปรโมชัน 3G เรียบร้อยแล้ว) จากนั้นก็สามารถเปิดใช้งานได้เลย ซึ่งสามารถรองรับอุปกรณ์เชื่อมต่อได้หลายชิ้นพร้อมๆ กัน อีกทั้งยังมีแบตเตอรี่ในตัวด้วย ทำให้สะดวกต่อการใช้งานมากทีเดียว ดังจะเห็นได้จากหลายๆ ทริปที่เริ่มแนะนำให้หาซื้ออุปกรณ์จำพวก MiFi มาหนึ่งเครื่องพร้อมซิมการ์ดหนึ่งใบ แล้วแชร์กันจ่าย แชร์กันใช้งาน 3G หลายๆ คน ซึ่งช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายจากเดิมที่ต่างคนต่างซื้อโปรเน็ตของตนเองลงได้มากทีเดียว
ข้อดีของการใช้งานอุปกรณ์จำพวก MiFi
  • สะดวกต่อการใช้งาน เพราะไม่จำเป็นต้องต่อสาย เนื่องจากมีแบตเตอรี่และกระจายออกมาเป็น WiFi ได้ในตัว
  • MiFi หนึ่งเครื่องสามารถใช้งานกับแท็บเล็ต/สมาร์ทโฟนได้หลายเครื่องพร้อมๆ กัน (แต่ยิ่งใช้เยอะ ความเร็วก็จะยิ่งน้อยลง)
ข้อจำกัดของการใช้งานอุปกรณ์จำพวก MiFi
  • จำเป็นจะต้องชาร์จแบตเตอรี่ให้ MiFi ด้วย
  • ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพราะต้องใช้ซิมการ์ดอีกใบ+โปรโมชัน 3G (แต่จะคุ้มมากถ้าใช้งานร่วมกันหลายคนแล้วแบ่งกันจ่าย)
ที่เหลือก็แล้วแต่ว่าแต่ละท่านจะสะดวกใช้งานวิธีไหนมากกว่าแล้วนะครับ

5/11/2556

แนะนำการเลือกซื้อฮาร์ดดิสก์สำหรับโน๊ตบุ๊กเพื่อการอัพเดต


วันนี้จะแนะนำเรื่องของฮาร์ดดิสก์ของโน๊ตบุ๊ก สำหรับบางคนที่อยากซื้อมาเปลี่ยนของตัวเองไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอย่างเช่น อยากได้ฮาร์ดดิกส์ที่ใหญ่ขึ้นหรืออยากได้ฮาร์ดดิสก์ที่เร็วขึ้น วันนี้มาทำความรู้จักกับเรื่องของฮาร์ดดิสก์กับแบบง่ายๆ ครับ
03
1. ขนาด
ขนาดของฮาร์ดดิสก์ที่พูดถึงนี้ไม่ใช่เรื่องของความจุครับ แต่เป็นขนาดสัดส่วนของฮาร์ดดิสก์ โดยทั่วไปแล้วฮาร์ดดิสก์ที่หาซื้อได้ทั่วๆ ไปจะมีอยู่สองขนาดใหญ่ๆ คือ 3.5 นิ้ว และ 2.5 นิ้ว ที่จริงยังมี 1.8 นิ้ว ด้วย แต่จะเป็นฮาร์ดดิสก์ที่มักเอาไว้ใช้กับเครื่องที่มีขนาดเล็ก หรือเน้นน้ำหนักให้เบาที่สุด ย้อนกลับมาที่ขนาดที่ว่าไว้กันบ้าง ฮาร์ดดิสก์ขนาด 3.5 นิ้ว จะใช้กันในเครื่องพีซีตั้งโต๊ะ ส่วนขนาด 2.5 จะใช้ในโน๊ตบุ๊กนั้นเอง ดังนั้น ถ้าจะซื้อก็หาซื้อตัวที่มันเล็กๆ แบนๆ ซึ่งถ้าเรามองราคาเทียบกับความจุแล้วอาจจะคิดว่าราคาเท่ากัน แต่จริงๆ ไม่เท่าเพราะความเร็วของฮาร์ดดิสก์ขนาด 2.5 นิ้ว นั้นจะช้ากว่านั้นเองครับ
2. ความเร็ว
สำหรับความเร็วในการทำงานของฮาร์ดดิสก์แบบจานหมุนทั่วไปนั้นจะอยู่ที่ 5400 RPM สำหรับขนาด 2.5 นิ้ว และ 7200 RPM สำหรับขนาด 3.5 นิ้ว ส่วนคำว่า RPM ย่อมาจาก Round Per Minute หรือ รอบต่อนาที ยิ่งความเร็วสูงเท่าไร ฮาร์ดดิสก์ก็สามารถหมุนหาข้อมูลได้เร็วเท่านั้น เราสามารถคิดความเร็วของ RPM ออกมาเป็น เฮิรตซ์ (Hz) ได้นะครับ เพราะ Hz หมายถึง 1 ครั้งต่อวินาที 1 RPM จึงเท่ากับ 1/60 Hz นั้นเอง ดังนั้น พูดเป็นภาษาคนก็หมายความว่า ฮาร์ดดิสก์โน๊ตบุ๊กของคุณทำงานที่ความเร็ว 90 Hz เท่านั้น “ช้าโคตร” แต่การมีฮาร์ดดิสก์ที่ทำงานได้เร็วขึ้นก็หมายถึง ราคาที่สูงขึ้น ความจุที่น้อยลง และมันก็กินไฟมากขึ้นด้วย
3. ความจุ
ความจุของฮาร์ดดิสก์โน็ตบุ๊กทุกวันนี้ ค่อนข้างใหญ่มากแล้วนะครับ บางเครื่องติดตั้งขนาด 640 GB มาให้แล้ว บางเครื่องติดตั้งแบบ 7200 RPM มาให้ด้วย ดังนั้น จึงไม่มีเหตุจำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยนมากนัก แต่ถ้าเป็นเครื่องที่เก่าแล้ว หรือเครื่องแบบเน็ตบุ๊ก ที่ได้ฮาร์ดดิกส์มา 250 GB หรือ 320 GB ก็โอเคที่จะซื้อมาเปลี่ยน ความจุที่เห็นว่ามีขายในบ้านเราต้องนี้ก็มี 250 GB, 320 GB, 500 GB, 640 GB และ 1 TB
01
4. Solid State Drive
รายท่านคงทราบกันแล้วถึงฮาร์ดดิสก์แบบใหม่ที่เราเรียกว่า SSD หรือ Solid State Drive ซึ่งมีความเร็วในการทำงานสูงมาก ลักษณะคล้ายๆ Flash Drive ที่เราใช้ๆ กัน มีตัวควบคุมเป็นจุดสำคัญในการสั่งงานการไหลของข้อมูล ยี่ห้อที่มีขายในบ้านเราก็เช่น Intel, Kingtons, Corsair ราคาก็ขึ้นอยู่กับขนาดและคุณภาพของตัวควบคุมด้วยครับ ณ ตอนนี้ 40 GB ของ Intel ก็ประมาณ 3,000 บาทแล้ว เหมาะจะเอาไว้เป็นไดรฟ์หลักที่ลงโปรแกรมโดยเฉพาะ เพื่อให้การโหลดข้อมูลทำได้เร็วมากขึ้น
05
ข้อจำกัดของการเปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ในโน็ตบุ๊ก
1. ฝาด้านล่างของโน๊ตบุ๊ก ถ้าคุณพลิกเครื่องไปดูข้างใต้ จะเห็นว่าบางเครื่องมีการทำช่องใหญ่ๆ ให้เปลี่ยนฮาร์ดดิสก์ได้ง่ายๆ บางเครื่องเปลี่ยนได้แต่แรม บางเครื่องออกแบบไม่ดี ซวยมากๆ เปลี่ยนอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะรื้อเครื่องออกมาทั้งหมด เรื่องของเครื่องก็ต้องไปดูกันเอาเองนะครับ ว่าเครื่องไหนทำได้แค่ไหน
2. ความเร็วหรือความจุ ฮาร์ดดิสก์ของโน๊ตบุ๊กต้องเข้าใจอยู่อย่างว่า มันต้องทำให้ประหยัดพลังงานด้วยในระดับหนึ่ง ดังนั้น ถ้าคุณอยากจะได้ฮาร์ดดิกส์ที่มีความเร็วสูงๆ ก็จะเหลือตัวเลือกให้ไม่มาก รวมทั้งขนาดสูงสุดก็อยู่ประมาณ 500 GB เท่านั้น จะให้ยอดเยี่ยมแบบฮาร์ดดิสก์พีซีที่ตัวใหญ่กว่าก็คงจะไม่ไหว ที่เห็นมีผูกขาดในบ้านเราก็ Western Digital รุ่น Scorpio Black ที่หาซื้อค่อนข้างง่าย ส่วนของเจ้าอื่นก็พอมีครับ แต่จะหายากหน่อย
3. พอร์ต ปัจจุบันฮาร์ดดิสก์ของโน็ตบุ๊กจะเป็นพอร์ต SATA หมดแล้ว ถ้าเครื่องคุณเก่าจริงๆ จนเป็น IDE อาจจะหาของมาเปลี่ยนยาก ต้องเดินตามร้านขายคอมดูครับ
04
ทั้งหมดก็เป็นข้อแนะนำง่ายๆ เบื้องต้นสำหรับคนที่คิดจะซื้อฮาร์ดดิสก์มาเปลี่ยนนะครับ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากอะไร ส่วนใหญ่ก็จะเปลี่ยนให้ใหญ่ขึ้นหรือเร็วขึ้น บางคนก็อาจจะเปลี่ยนไปเป็น SSD เลย สำหรับฮาร์ดดิสก์ตัวเก่าก็ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ได้ใช่ประโยชน์นะครับ เพราะเราสามารถซื้อกล่องมาต่อได้ กลายเป็นฮาร์ดดิสก์พกพาได้อีกตัว ราคามีตั้งแต่ 400 กว่าบาทจนเกือบพัน ขึ้นอยู่กับความสามารถของกล่องตัวนั้นๆ ครับ

คู่มือเบื้องต้นในการดูสเปกโน้ตบุ๊ก ฉบับล่าสุดประจำปี 2012



สำหรับใครที่ต้องการโน๊ตบุ๊กสักเครื่อง การดูสเปกได้นั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก (ยกเว้นจะให้เพื่อนๆที่ดูเป็นคนช่วย) เพราะหมายถึงการที่ได้เครื่องตรงความต้องการใช้งานของเรามากที่สุด ต่องบประมาณที่จำกัด บางท่านอาจจะต้องการใช้แค่พิมพ์งานเล่นเน็ต แต่ดูสเปกไม่เข้าใจอาจจะไปซื้อเครื่องรุ่นใหม่ที่กินตัวไป เพราะเห็นแค่เพียงว่าราคาสูงน่าจะใช้งานเราได้แน่ๆ หรือบางท่านต้องการเครื่องที่มีพอร์ตต่างๆตามต้องการเช่น HDMI สำหรับต่อจอ LCD TV หรือ e-SATA สำหรับต่อฮาร์ดดิสค์ความเร็วสูง ถ้าเราดูสเปกผิดเพียงนิดเดียวก็อาจจะทำให้เราซื้อเครื่องมาผิดจุดประสงค์การใช้งานได้เพราะฉะนั้น การดูสเปกแบบคร่าวๆพอเข้าใจอาจจะไม่ต้องถึงขั้นรู้เทคโนโลยีอะไรมากมายเพียงแต่สามารถจับจุดได้ แค่นี้ก็สบายหายห่วงแล้ว
ออกตัวก่อนนะครับว่าในบทความนี้จะแนะนำแค่คราวๆไม่ถึงกับลงลึกไปว่า งานนี้ควรจะใช้ซีพียูอะไร เพียงแต่แนะนำพอรู้ถึงกลุ่มต่างๆเท่านั้นนะครับ ไปดูทีละส่วนกันเลย
CPU
คือหน่วยประมวลผลเปรียบเหมือนสมองกลของคอมพิวเตอร์ บางท่านอาจจะคิดว่ามันเป็นกล่องสี่เหลี่ยมรึเปล่า แต่ไม่ใช่อย่างนั้น CPU คือ Chip ขนาดประมาณ 1นิ้ว x 1 นิ้ว ใหญ่ว่า หรือ เล็กกว่า (แล้วแต่ Model) โดยในโน๊ตบุ๊กนั้นแม้จะไม่ค่อยนิยมเปลี่ยนซีพียูเองเท่าไรเพราะ หาซื้อยาก มีราคาสูง และอาจจะกระทบกับการรับประกันได้ แต่ก็มีหลายๆท่าน ลองเปลี่ยนดูมาแล้วนะครับ
ปัจจุบันมีผู้ผลิต CPU Notebook รายใหญ่อยู่แค่ 2 บริษัท คือ AMD และ Intel ซึ่งส่วนมาก Intel จะครองตลาดซะมากกว่า โดยจะแบ่งได้หลายระดับที่นิยมและมีขายในตอนนี้ทั้ง
Intel
  • Atom นิยมใช้ในเน็ตบุ๊กเพราะขนาดที่เล็กและราคาที่ไม่แพงรองรับการใช้งานเป็นอย่างดี ในการใช้งานเบาๆ
  • Pentium Dual Core ซีพียู 2 Core ระดับเริ่มต้น มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับสูงแต่ไม่สูงเท่า Core i รองรับการทำงานที่หนักขึ้นมาจาก Netbook
  • Core i ที่มีทั้ง i3 i5 i7 ซีพียูมาตรฐานของโน้ตบุ๊กในปัจจุบัน ด้วยการปฎิวัติการออกแบบซีพียูใหม่ ที่มีทั้งการเพิ่ม Hyper threading หน่วย Core เสมือน และ Turbo Boost ซึ่งทำให้ซีพียูสามารถเพิ่มความเร็วเองได้อัตโนมัติ ที่มีใน Core i5 และ i7 แต่ i7 นั้นจะเด็ดกว่าด้วยเป็นซีพียู 4 Core แท้ อีกทั้งยังมีรหัสต่อท้ายเช่น M 2 Core และ QM 4 Core
  • Core i Gen 2  (Sandy Bridge) เป็นการพัฒนาอีกขั้นจาก Core i เดิม โดยจะเพิ่มชื่อรหัสเลข 2 เข้าไปเช่น Core i5-2410M โดยจะเป็นรุ่นใหม่ประจำปี 2011 ที่เพิ่มประสิทธิภาพเข้าไปให้สามารทำงานได้เร็วขึ้น การ์ดจอออนบอร์ดตัวใหม่ที่สามารถชมภาพยนตร์ 1080p ได้โดยไม่ต้องพึ่งการ์ดจอแยก
  • Core i Gen 3 (Ivy Bridge) ซีพียูสถาปัตยกรรมรุ่นล่าสุดจากทาง Intel โดยยังแยกเป็น Core i3, i5, i7 เหมือนเดิม แตัวเลขรหัสนำหน้านั้นจะใช้เป็นเลข 3 อาทิเช่น  Core i5-3210M, Core i7-3610QM ซึ่งจะมาพร้อมกับคุณสมบัติใหม่ๆ อาทิ Intel Graphics HD 4000, แรม DDR3-1600 MHz, ฮาร์ดดิสก์ SATA III และมาตรฐาน USB 3.0
AMD
  • Athlon II รุ่นเก่าไม่มีขายแล้ว เด่นที่ราคาประหยัดแต่ก็มีความร้อนสูง
  • Phenom เป็นซีพียูเด่นประจำปี 2010 โดดเด่นด้วยประสิทธิภาพที่อยู่ในระดับดีคุ้มค่า ความร้อนต่ำ ที่สำคัญคือมีให้เลื่อกทั้ง X2 X3 X4 เพื่อแบ่งตามจำนวน Core ของซีพียู ที่เป็ฯ Core แท้ไม่ใช่ Core เสมือน
  • APU เป็นการปฏิวัติประจำปี 2011 ด้วยการผนวกรวมซีพียูและการ์ดจอเข้าไปในชิปตัวเดียวกัน ทำให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น ราคาถูกลงแต่ประสิทธิภาพก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าการ์ดจอแยก โดยจะเรียกว่า APU ทั้งซีพีรีย์ C E และ A
  • E C Series เป็นรุ่นล่างของ APU โดยออกแบบมาเพื่อ Tablet และ Netbook ประสิทธิ์ภาพพอใช้งานทั่วไป ใช้พลังงานต่ำแผ่ความร้อนน้อย และที่สำคัญที่ดีกว่าคู่แข่งคือการ์ดจอที่แรงกว่าพร้อมรองรับ DX11
  • A Series ล่าสุดของปี 2012 สำหรับโน้ตบุ๊กที่ต้องการทั้งการประมวลผลขั้งสูง และราคาคุ้มค่า โดยมีตั้งแต่ A4, A6, A8 และ A10 โดดเด่นที่จำนวน Core 4 หัวในรุ่น A6 ขึ้นไป อีกทั้งยังมากับการ์ดจอภายในที่มีประสิทธิภาพสูงพร้อม CrossFire กับการ์ดจอแยกได้ด้วยทำให้เพิมประสิทธิภาพการ์ดจอไปได้อีกโดยที่งบประมาณไม่เพิ่มขึ้นมากนัก
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพซีพียูปี 2012  >>Link<<

Chipset

คือส่วนที่ค่อยควบคุม อุปกรณ์แทบทั้งหมดของเครื่อง หรือเรียกได้ว่าเป็นตัวประสานงานต่างๆขอบอุปกรณ์บนเมนบอร์ดก็ว่าได้ ตั้งแต่ซีพียู แรม …. ไปจนถึงพอร์ตต่างๆ ล้วนแต่พึ่งพา ชิปเซ็ตทั้งนั้น มีผู้ผลิตชิปเซ็ตก็มีทั้ง Intel ซึ่งจัดได้ว่าเป็นผู้ผลิตชิปเซ็ตรายใหญ่ที่สุด โดยจะผลิตชิปเซ็ตมารองรับซีพียูของตนเองเป็นส่วนใหญ่อยู่แล้ว พอซีพียูรุ่นใหม่ออกก็จะผลิตชิปเซ็ตออกมารองรับทันทีทันใด แน่นอนว่าซีพียูเป็นของ Intel เกือบทั้งหมด ชิปเซตเอง Intel ก็กินส่วนแบ่งเกือบทั้งหมด แต่ก็มียี่ห้ออื่นๆที่หลุดๆมาบ้างทั้ง AMD ที่เหมือนๆกับ intel คือผลิตชิปเซ็ตให้ซีพียูตนเองเป็นหลัก นอกเหนือจากนั้นก็มีทั้ง NVIDIA, SIS, VIA
โดยในปัจจุบันซีพียูหลายรุ่นจะผนวกรวม north bridge ชิปหลักที่ความคุมอุปกรณ์หลักๆเช่นการ์ดจอ แรม ซีพียูเข้าไปในซีพียูแล้วเพื่อทำให้สามารถลดเวลาการสั่งงานไปได้เช่น APU ของ AMD แต่ก็ยังคงมี south bridge ที่คอยควบคุมอุปกรณ์อื่นๆแยกอยู่ เช่น HDD พอร์ตต่างๆ
Graphic Chip
คือหน่วยที่ประมวลผลด้านภาพออกมาแสดงทางจอ มีด้วยกัน 2 ประเภทคือ Onboard ที่จะรวมภาคประมวลผลภาพของการจอลงในชิปเซ็ตของเครื่องด้วย และแน่นอนว่ายังคงเป็นของ Intel เสียส่วนใหญ่ ความสามารถนั้นก็ถือว่าเป็นในระดับล่าง ใช้งานทั่วไป ดูหนัง เล่นเกมส์ที่ความละเอียดไม่สูงมากได้บ้าง
อีกชนิดหนึ่งคือแยกชิปเซ็ตแยกจากชิปเซ็ตหลัก มีทั้งแบบเป็นการ์ด และแบบที่เป็นชิปเซ็ตฝังบนเมนบอร์ดเลย โดยมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่ 2 ราย คือ ATI และ NVIDIA ความสามารถต่างๆ นาๆ นั้นก็จะขึ้นอยู่กับราคา ยิ่งแพงการประมวลผลด้านภาพก็จะยิ่งดี ยิ่งเล่นเกมส์ ดูหนัง Hi-Def ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รุ่นยอดฮิตในไทยก็ได้แก่
Onboard
  • Intel GMA 4500MHD จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core 2 Duo รองรับการใช้งานทั่วไป ไม่มีขายแล้ว
  • Intel GMA HD จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core i รองรับงานทั่วไปรวมถึงภาพยนตร์ 720p ได้
  • Intel GMA HD 3000/2000 จะเป็นการ์ดจอออนบอร์ดของ Core i Gen 2 รองรับงานทั่วไปรวมถึงภาพยนตร์ 1080p ได้ รวมถึงเกมส์ที่ความละเอียดไม่สูงมากนัก
  • Intel Graphics HD 4000 ที่มาพร้อม Ivy Bridge (Core i Gen 3) จุดเด่นที่สุดที่เห็นได้ชัดก็คือการ์ดจอที่อยู่ในซีพียูตัวใหม่นี่ละครับด้วยการยกเครื่องใหม่จากตัว HD 3000 พอสมควร ทั้งประสิทธิภาพที่ Intel คุยว่าแรงระดับการ์ดจอแยก เล่นเกมส์ได้ระดับหนึ่ง รวมถึงการรองรับ DX11 เต็มรูปแบบจากตัวเดิมรองรับแค่ DX10.1 เท่านั้น
NVIDIA
  • รหัสห้อยท้ายชื่อรุ่นจะแบ่งตามระดับการ์ดจอได้แก่ GS ระดับเริ่มต้นเล่นเกมส์ได้นิดหน่อย GT เล่นเกมส์ได้ระดับกลางๆ และ GTX สูงสุดเล่นเกมส์ได้ที่ความละเอียดเต็มที่
  • 9xxx /1xx /2xx /3xx  รุ่นเก่าที่ไม่มีจำหน่ายแล้วรองรับแค่ DX10
  • 4xx ซีรีย์ประจำปี 2010 ซีรีย์แรกที่รองรับ DX11
  • 5xx ซีรีย์ประจำปี 2011
  • 6xx ซีรีย์ประจำปี 2012

ATI
  • Series 3xxx เป็นรุ่นที่ไม่เก่ามาก 3410 > 3450 > 3470 > 3650 > 3670
  • Series 4xxx เป็นรุ่นใหม่ที่เพิ่งออกมา มีประสิทธิภาพที่ดีทีเดียวเลย และคาดว่าจะมีอีกหลายๆรุ่นตามมา ได้แก่ 4570 > 4650
  • Series 5xxx รุ่นประจำปี 2009 รองรับ DX11
  • Series 6xxx รุ่นประจำปี 2011 มีทั้งที่เป็นออนบอร์ดอยู่ใน APU และ แบบการ์ดจอแยกมาเลย โดยดูจาก M ต่อท้ายจะเป็นการ์ดจอแยก
  • Series 7xxx รุ่นประจำปี 2012
ตารางเปรียบเทียบประสิทธิภาพการ์ดจอปี 2012 >>Link<<



Display
คือส่วนที่เป็นจอภาพ โดยจอภาพในปัจุบันนั้นจะเป็นแบบ LED หมดแล้ว ซึ่งจะมีขนาดเล็กๆตั้งแต่ 7 นิ้ว ไปจนถึง ใหญ่ๆ 18 – 20 นิ้วกันเลยทีเดียว ตามความต้องการเช่นใครต้องการพกพาสะดวกก็ดูรุ่นที่จอเล็กๆหน่อย แต่ถ้าใครซื้อไปเป็นเครื่อง PC สำหรับดูหนังเล่นเกมส์แบบว่าไม่ค่อยได้ยกไปไหนมาไหน จะซื้อรุ่นที่จอใหญ่ๆก็ตามชอบเลยครับ และอีกสิ่งที่เป็นข้อสังเกตุคือ Resolution ยิ่งมีค่าสูงจอภาพก็จะมีความละเอียดมาก เช่น จอที่ไว้ดูหนัง Hi-Def โดยเฉพาะ จะอยู่ที่ 1920×1080 ซึ่งจะพบได้ใน Notebook ระดับ Hi-End ราคาสูง
  • เน้นพกพา เหมาะกับจอภาพ 7 – 11 นิ้ว
  • ไม่หนักมาก แต่จอภาพก็ไม่เล็กเกินไป 12 – 13 นิ้ว
  • ใช้งานทั่วไปตามมาตรฐาน 14 – 15 นิ้ว
  • เน้นจอใหญ่ใช้งานมัลติมีเดีย 15 – 17 นิ้ว
นอกจากนั้นยังมีชนิดของจอภาพเข้ามาเป็นตัวเลือกให้อีกโดยปรกติจอภาพส่วนใหญ่นั้นจะเป็นจอกระจกเพราะมีคุณภาพดีคุ้มค่าราคาไม่สูงเกินไป และยังให้สีสันคมชัดสวยงาม แต่สำหรับผู้ที่ต้องจ้องคอมนานๆหรือนำเครื่องไปใช้งานกลางแจ้งน่าจะมองจอภาพแบบจอด้านหรือ anti-glare จะเหมาะกว่าครับ

Memory
เป็นหน่วยความจำชั่วคราวสำหรับเป็นที่พักข้อมูลยิ่งมีความจุสูงก็จะยิ่งทำให้ Notebook สามารถทำงานได้ลื่นไหลมากขึ้น และความเร็วของแรมเช่น 667 800 1066 1333 MHz นั้นยิ่งมากก็จะยิ่งทำให้เครื่องทำงานได้ไวสอดคล้องกับซีพียูมากขึ้น ส่วนมากของโน๊ตบุ๊กในปัจจุบันใช้ RAM DDR3 กันหมดแล้ว แต่ก็ยังมีโน้ตบุ๊กรุ่นเก่าๆที่ใช้ DDR2 อยู่บ้าง  โดยการเลือกใช้นั้นด้วยราคาแรมในปัจจุบันที่ถูกลงมามาก แรมก็ไม่ควรต่ำกว่า 4 GB เป็นอย่างน้อย เพราะในระดับนี้จะทำอะไร เล่นเกมส์ ดูหนัง ฟังเพลง ทำงาน ในเครื่องสามารถใช้งานได้สบายๆแล้ว ซึ่งโน้ตบุ๊กทั่วๆ ไปจะรองรับความจุสูงสุดได้ 8 GB
Hard Disk
เป็นหน่วยความจำหลักที่จะบรรจุซอฟแวร์ต่างๆไว้ในนี้ ถ้าฮาร์ดดิสก์มีความจุมากก็จะทำให้มีพื้นที่ในการเก็บข้อมูลต่างๆเช่น หนัง เพลง มาก จนไม่ต้องกลัวว่าจะเต็มๆ ในเครื่องปัจจุบันที่ขายกันทั่วๆไปต่ำๆก็จะมีมาให้ 320 – 500 GB เพียงพอสำหรับเก็บข้อมูลได้ระดับหนึ่ง แต่ถ้าเก็บข้อมูลขนาดใหญ่ๆเป็นประจำ ก็ไม่ควรน้อยกว่า 640 GB  โดยฮาร์ดดิสค์ทั่วๆไปที่แถมมากับเครื่องจะมีความเร็วรอบจานหมุนที่ 5400 RPM แต่ถ้าจะให้ดีควรจะมีความเร็วที่ 7200 RPM จะสามารถใช้งานได้รวดเร็วกว่า
อีกทั้งยังมาฮาร์ดดิสค์อีกประเภทที่กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นคือชนิด Sloid-State Drives (SSD) เป็นฮาร์ดดิสค์ที่ใช้ IC Chip มาบันทึกข้อมูลแทน แบบจานหมุนในฮาร์ดดิสค์ทั่วไป ซึ่งทั้งเร็วและมีความคงทนสูงกว่าฮาร์ดดิสค์แบบธรรมดาที่เราใช้กันอยู่ แต่ก็มีราคาสูงตามไปด้วย ซึ่งจะเริ่มเห็๋นจำหน่ายกันมากขึ้นและนำมาใช้กับโน้ตบุ๊ก Hi-end กัน หรือในโน้ตบุ๊กประเภท Ultrabook รวมไปถึงยังมีฮาร์ดดิสก์แบบไฮบริดก็คือนำทั้ง SSD และฮาร์ดดิสก์แบบปกติมาใช้งานร่วมกัน ก็คือ ใช้ SSD เป็นที่สำรองข้อมูลระบบหรือบัพเพอร์ไฟล์ต่างๆ ซึ่งจะใช้ SSD ขนาด 8 – 16GB ส่วนฮาร์ดดิสก์แบบปกติจะให้ความจุมาอยู่ที่ 320 – 1000GB ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตโน้ตบุ๊กรุ่นนั้นๆ ออกมา

Drive
มีหลายชนิดมากมายเลยครับ ที่นิยมนำมาลง Notebook มากที่สุดตอนนี้ก็คงเป็น DVD Writer (Dual Layer Support) ที่สามารถ อ่าน-เขียนแผ่น DVD ก็จะมีตั้งแต่เขียนได้ 8X 16X 20X ครับ ส่วน Drive ที่มาแรงคงหนีไม่พ้น Blu-ray ที่มีขนาดบรรจุถึง 27 G อัตราการโอนถ่ายข้อมูลเร็วถึง 36 Mbps แต่ติดที่ยังราคาแพงอยู่ แต่ในอนาคตไดร์ฟและแผ่นแบบ Blu-Ray จะเข้ามาเป็นมาตฐานใหม่แทน DVD ในไม่ช้านี้แน่นอน ตอนนี้โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆ ระดับสูงๆ ก็ติดเป็น Blu-ray Drive กันเกือบหมดแล้ว


USB

คงไม่มีใครไม่รู้จัก USB น่ะครับ เป็น Port ที่ส่งถ่ายข้อมูลแบบอนุกรม ที่ได้รับความนิยมสูงสุดมีใช้ในอุปกรณ์ต่อเชื่อมแทบทุกชนิด ตั้งแต่แฟลตไดร์ฟ ยังจอภาพ LCD เลยทีเดียว ด้วยความสามารถเด็ดคือ Plug & Play คือสามารถใช้งานได้ทันทีไม่ต้องรีสตราทเครื่องหรือบางอยางเช่นแฟลชไดร์ฟไม่ ต้องลงไดร์วเวอร์ก็สามารถใช้งานๆได้ทันที ในปัจจุบันใช้ USB 2.0 เป็นหลัก ซึ่งจะมีความเร็วอยู่ที่ 480 MB/s และอีกไม่นาน USB 3.0 ก็จะเข้ามาแล้ว ซึ่งจะมีความเร็วมากว่า 2.0 ถึง 10 เท่า


USB 3.0
USB 3.0 นั้นจะมีความเร็วสูงกว่า USB 2.0 ถึง 10 เท่าโดยจะมีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุดถึง 4.8 Gbps ซึ่งสูงกว่า USB 2.0 ที่มีความเร็วในการแลกเปลียนข้อมูลสูงสุด 480 Mbps ซึ่งจะทำให้ USB 3.0 นั้นสามารถทำการอ่านข้อมูลได้ไปพร้อมๆ กับเขียนข้อมูลในคราวเดียวกัน ซึ่งต่างกับ USB 2.0 ที่ต้องทำการอ่านหรือเขียนได้ทีละอย่าง ซึ่งในช่วงนี้ปีนี้ USB 3.0 คงจะเข้ามาทดแทน USB 2.0 อย่างเต็มที่ จากการมาของ Intel Ivy Bridge

USB 3.0 นั้นได้ลดพลังงานการใช้งานอุปกรณ์น้อยลงจาก 4.4 V เหลือ 4 V แต่เพิ่มความเร็วในการส่งพลังงานให้เยอะขึ้นจาก 500 mA เป็น 900 mA ซึ่งจะทำให้การชาร์ตอุปกรณ์ที่สนับสนุน USB 3.0 ที่เสียบผ่านสาย USB 3.0 ชาร์ตเร็วขึ้นด้วย หรือการสนับสนุนอุปกรณ์รุ่นก่อนเช่น USB 2.0 ซึ่งยังสามารถทำการเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้แล้วยังเสียบอุปกรณ์ USB 2.0 เข้า USB 3.0 ได้อีกด้วยเช่นกัน โดยจะมีความเร็วแค่เท่าของ USB 2.0

D-Sub หรือ VGA
หรือที่เรียกกันอีกแบบว่า VGA port เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้อุปกรณ์แสดงภาพภายนอกที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เรียกได้ว่ามีในโน๊ตบุ๊กแบบทุกเครื่องเลย ถึงแม้คุณภาพของภาพที่เป็นระบบสัญญาณอนาล็อกจะด้อยกว่า DVI แต่ด้วยมีอุปกรณ์รองรับมากที่สุดทำให้เป็นพอร์ตสำหรับต่อแสดงผลที่ได้รับ ความนิยมสูงสุด (แต่ในอนาคตคาดว่าจ HDMI จะมาแทนในไม่ช้า) รองรับทั้งจอแบบ LCD CRT รวมถึงเครื่องโปรเจ็คเตอร์ด้วย


HDMI
หรือย่อมาจาก High-Definition Multimedia Interface ตามที่ชื่อบอกเลยครับว่ารองรับงานมัลติมีเดียเต็มที่ ด้วย Port ที่เชื่อมต่อกับเครื่องเล่น HDMI ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวก LCD TV หรือ เครื่องเสียง โดยในสาย HDMI จะรวบร่วมสัญญาณดิจิตอลทั้งภาพและเสียงที่ส่งไปในสาย HDMI เส้นเดียว ทำให้มีความสะดวกเพราะไม่ต้องต่อสายหลายสายให้วุ้นวาย โดยในโน๊ตบุ๊กสมัยใหม่ที่รองรับก็จะติดตั้งพอร์ต HDMI มาให้ใช้งานได้เลย โดยสาย HDMI เวอร์ชั่นล่าสุด ที่เป็น HDMI V.1.4 สามารถรองรับการส่งข้อมูลภาพแบบ 3D ได้ รวมไปถึงความละเอียดก็รองรับได้สูงสุดถึง 4096 × 2160 พิกเซลเลยทีเดียว
 
DisplayPort
DisplayPort คล้ายๆ HDMI แต่จะเหนือกว่าด้วยความสามารถในการส่งข้อมูลที่ 8.64 Gbit/s ทำให้รองรับความละเอียดได้สูงถึง 3840 × 2160 พิกเซล แต่มีความสามารถในการต่อหน้าจอความละเอียด 1920 x 1200 พิกเซล จำนวน 4 หน้าจอพร้อมๆ กัน รวมไปถึงส่งข้อมูลได้สองทาง ปัจจุบันนิยมใช้ใน MacBook และ ThinkPad หรือโน้ตบุ๊กมืออาชีพระดับสูง เพราะมีคุณสมบัติสูงได้กว่า HDMI พร้อมทั้งแปลงเป็น HDMI ได้ด้วย ปัจจุบันเป็น DisplayPort เวอร์ชั่น 1.2
สำหรับใครอยากทราบข้อแตกต่างระหว่าง HDMI และ DisplayPort ให้มากยิ่งขึ้น ติดตามอ่านได้ที่นี่ครับ 

Thunderbolt
เป็นพอร์ตที่พัฒนาร่วมกันระหว่าง Intel และ Apple ซึ่งได้ติดตั้งมาแล้วใน MacBook Pro รุ่นปี 2011 โดย Thunderbolt port สามารถเล่นวิดีโอที่มีความละเอียด 1080p ได้พร้อม ๆ กันถึง 4 เรื่อง และยังสามารถถ่ายโอนข้อมูลของไฟล์ขนาด 5 GB จาก Hard drive ไปยังคอมพิวเตอร์ภายในเวลาประมาณ 10 วินาที เท่านั้น แต่ว่าอุปกรณ์ที่รองรับยังน้อยอยู่ และยังมีศัตรูอย่าง USB 3.0 ที่ทำให้เกิดได้ยาก แต่ในปี 2012 นี้จะเห็นว่าโน้ตบุ๊กที่เป็น Windows หันมาใช้กันมายิ่งขึ้นจากการผลักดัน Intel ที่ใช้ชิป Ivy Bridge



DVI
เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ LCD Notebook ที่มี Port นี้มีค่อนข้างน้อยมากครับ ส่วนใหญ่จะอยู่ใน Notebook รุ่นที่มีราคาสูงๆ โดยจะเป็นส่งสัญญาณแบบดิจิตอล ซึ่งให้คุณภาพในการแสดงผลที่ดีกว่าแบบอนาล็อค แบบในพอร์ต D-Sub ที่นิยมใช้กันในโน๊ตบุ๊กทั่วๆไป แต่ปัจจุบันโดยแทนที่ด้วย HDMI หมดแล้ว


S-video
เป็น Port ที่ส่งสัญญาณภาพเข้าสู้จอ TV โน๊ตบุ๊กรุ่นเก่าๆหน่อยจะมีพอร์ตนี้กันเยอะ แต่ในรุ่นใหม่ๆก็แทบไม่มีแล้วเพราะมีพอร์ตอื่นๆเข้ามาแทนที่ เช่น HDMI

Firewire
หรือ ที่นิยมเรียกกันว่า IEEE 1394 เป็น Port มีลักษณะดังในภาพ คล้ายรูปสี่เหลี่ยมคางหมู หรืออีกรูปแบบนึงซึ่งจะมีขนาดเล็กกว่า ใช้โอนถ่ายข้อมูลเป็นหลักคล้ายๆกับ USB โดยมีความเร็วอยู่ที่ 400 MB/s อาจจะดูด้อยกว่า USB 2.0 เล็กน้อยแต่ก็แลกมาด้วยความนิ่งของสัญญาณที่ไม่แกว่งเหมือน USB นิยมใช้ในกล้องวีดีโอความละเอียดสูง แต่อีกไม่นานเมื่อ USB เข่าสู่เวอร์ชั่น 3 เมื่อไรพอร์ตนี้คงจะเริ่มหายจากไปเหลือเพียงใช้งานในบางกลุ่มเท่านั้น ส่วนใหญ่ Port Firewire ส่วนใหญ่จะใช้กับกล้อง VDO CamCoders เป็นหลัก ปัจจุบันไม่เป็นที่นิยมแล้ว

e-SATA
เป็น Port ที่เอาไว้ต่อกับ External Hard disk หรือ Hard disk ธรรมดาก็ได้ โดยพอร์ต e-SATA นั้นจะมีความเร็วมีหลักการทำงานเช่นเดียวกับพอร์ต SATA บนเมนบอร์ดเลย ด้วยความเร็วสูงถึง 3000 Mbit/s แต่ในพอร์ต e-SATA จะมีแปลงหัวต่อให้สามารถใช้งานเป็นพอร์ต USB ได้ด้วย

Card Reader
คือ Port ที่เอาไว้ใส่ การ์ดอ่านการ์ดต่างๆ MMC , MSD , CF และอื่นๆ แล้วแต่ผู้ผลิตว่าจะติดตั้งเครื่องอ่านการ์ดชนิดใดมาบางส่งใหญ่ที่นิยมกันก็ เช่น SD MMC

Express Slot
คือ Port อีกชนิดหนึ่งที่ถูกพัฒนาต่อยอดมาจากบนเมนบอร์ด ซึ่งเอาไว้ ต่อกับการ์ดต่างๆ เพื่อเพอ่มประสิทธิภาพเครื่องให้สูงขึ้นสามารถทำงานได้หลายอย่างมากขึ้นเช่น Air Card , Sound Card หรือแม้กระทั่ง เพิ่มพอร์ต USB LAN โดยจะแบ่งกันเป็น 3 แบบหลักตามขนาดโดยในแต่ละเครื่องจะแตกต่างกันไป แต่ที่นิยมในปัจจุบันมากที่สุดจะเป็น Express Card 54
ตัวอย่าง Express Slot ทั้ง 3 รูปแบบ
Finger Print
หรือที่สแกนลายนิ้วมือ ที่สามารถใช้ลายนิ้วมือของตัวเองตั้งเป็นรหัสเพื่อเข้าเปิดเครื่อง หรือเข้าถึงข้อมูลสำคัญ ถือว่าเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่เหมาะสมกับนักธุรกิจ ยัน นักศึกษาเลยด้วยซ้ำครับ

Wireless Lan
หรือ Wi Fi ใช้ในการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบไร้สาย ทำให้เราสามารถนำโน๊ตบุ๊กไปเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ได้ทุกที่ทุกเวลาในที่มีสัญญาณ Wi Fi โดยไม่ต้องเชื่อมต่อสายแต่อย่างใด ทำให้เป็นที่นิยมมากที่สุดในปัจจุบันด้วยความสะดวกสะบายนี้ และด้วยระบบ IEEE 802.11 นั้นมี 2 มาตรฐาน หลักๆที่นิยมใช้ในโน๊ตบุ๊กคือ N รองรับการเชื่อต่อที่ความเร็ว 36-54 Mbps และ N รองรับการเชื่อมต่อที่ความเร็ว 74 Mbps และสูงสุดที่ 248 Mbps โดยในโน๊ตบุ๊กยังมีจำนวนน้อยที่รองรับมาตรฐานนี้ส่วนใหญ่จะเป็น รุ่นในแพลตฟอร์มเซนทริโน 2 เป็นหลักที่รองรับ

Bluetooth
คือคอนเน็ตเตอร์ไร้สายอีกประเภทที่รู้จักเป็นอย่างดีเพราะในโทรศัพท์มือถือ นั้นได้นำเทคโนโลยีนี้มาใช้กันอย่างกว้างขวาง และในโน๊ตบุ๊กเองก็มีการนำมาใช้ทั้งเชื่อมต่อเผื่อโอนถ่ายข้อมูลระหว่าง เครื่อง ไปจนถึงเชื่อต่อกับโทรศัพท์เพื่อเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ด้วย แต่ข้อเสียก็คือ ส่งข้อมูลได้ช้าเพราะมีความเร็วแค่เพียง 100kb/sec และไม่สามารถเชื่อมต่อได้ไกลมากนัก ประมาณ 10 เมตร จึงทำให้ความนิยมลดน้อยลงไปปัจจุบันพัฒนาถึงเวอร์ชั่นที่ 4 แล้ว


LAN
หรือ RJ-45 เป็นคอนเน็ตเตอร์ในการเชื่อมต่อสู่ระบบเครือข่ายซึ่งเป็นที่นิยมสูงมาก ตั้งแต่ตามบ้านเรือน จนถึงองค์กรณ์ใหญ่ๆด้วยความเร็วสูงที่การเชื่อมต่อรูปแบบอื่นๆ ไม่สามารถทัด เทียมได้ยาก ด้วยความเร็วตั้งแต่ 10 -100 MB/s จนไปถึงระดับ 1 GB/s (1,000 MB/s) ในโน๊ตบุ๊กรุ่นใหม่ๆก็อยู่ในระดับ 1 GB/s แทบทั้งนั้นเลย ด้วยความเร็วสูงขนาดนี้จึงเป็นที่นิยมอย่างแพร่หลายและยังเป็นที่นิยมต่อไป อีกนานครับ
Modem
หรือที่เรียกว่า RJ-11 ตามชนิดของหัวต่อ เป็นคอนเน็ตเตอร์รุ่นแรกๆของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตในสมัยก่อน ที่ความเร็ว 56 K (ในสมัยนี้ก็ยังมีใช้กันอยู่แต่น้อยลงไปเยอะ) โดย Notebook รุ่นใหม่ๆ ไม่มีแล้ว เพราะมีระบบ Hi Speed อินเตอร์เน็ตเข้ามา ซึ่งนิยมใช้เป็นพอร์ต LAN หรือ Wi Fi มากกว่า เพราะเร็วกว่าเยอะ โน้ตบุ๊กปัจจุบันแทบไม่มีแล้ว

Battery
เป็นสิ่งสำคัญสิ่งหนึ่งของ Notebook เพราะคุณจะใช้งานนอกสถานที่ได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแบตเตอรี่ โดยปัจจุบัน Li-Ion ได้รับความนิยมมากสุด นอกจากจะชาร์จได้ตามต้องการแล้ว มันยังใช้งานได้นานพอสมควร ยิ่งจำนวน Cell แล mAh มากเท่าไรยิ่งสามารถใช้งานได้มากขึ้น ท่านสามารถดูวิธีการบำรุงรักษา Battery ได้ ที่่นี่

ซื้อโน้ตบุ๊กทั้งทีเน้นซีพียูหรือการ์ดจอดีกว่ากัน


เป็นอีกหนึ่งคำถามที่ user มักจะถามเข้ามาว่าซื้อโน้ตบุ๊กทั้งทีเน้นซีพียูหรือการ์ดจอดีกว่ากัน
โน้ตบุ๊กหลายๆรุ่นที่วางขายตามท้องตลาดมักจะมีจุดเด่นจุดด้อยที่ต่างกัน โดนในงบประมาณที่เท่ากันรุ่นนึงอาจจะได้ซีพียู Core i7 แรงแต่กลับได้การ์ดจอรุ่นล่างๆ ขณะที่อีกรุ่นได้แค่ Core i5 แต่ได้การ์ดจอที่แรกเล่นเกมส์ได้ดีกว่า ทำให้ user หลายๆท่านสับสนว่าจะซื้อแบบไหนดี ผมมีคำตอบมาให้ เอาจากการใช้งานจริงไม่ต้องมองผลทดสอบเลย โดยเน้นงบประมาณจำกัดเป็นหลักเด๋อ
image
เน้นซีพียู
ถ้าท่านแทบไม่ได้เล่นเกมส์อะไรเลย เอาแต่แปลงไฟล์หนังลง  iPad หรือ Zip ไฟล์เป็นชีวิตจิตใจ แรนเดอร์ไฟล์ 3D ท่านคิดถูกแล้วครับที่ต้องเน้นซีพียูเพราะซีพียูตัวแรงๆอย่าง Core i7 นั้นสามารถแปลงไฟล์ต่างๆได้รวดเร็ว แตกไฟล์ได้ทันใจนักแบบซีพียูตัวอื่นทาบไม่ติดเลย แต่สิ่งหนึ่งที่ท่านต้องคำนึงถึงเลย Core i7 (Quad Core) นั้นกินไฟมากกว่าซีพียูทุกรุ่นถ้าท่านไม่ได้ใช้งานพวกนี้มากๆจริงๆผมว่าซื้อ Coer i7 ไปก็เกินความจำเป็นนะครับ
เน้นการ์ดจอ
user ส่วนใหญ่ผมจะแนะนำให้ดูรุ่นการ์ดจอสูงๆดีกว่าครับเพราะเราสามารถตอบสนองได้ทั้งการใช้งานทั่วไปและเล่นเกมส์ด้วย เพราะเกมส์ส่วนใหญ่นั้นต้องการสเปกการ์ดจอสูงๆเป็นหลักขณะที่ซีพียูนั้นรุ่นต่ำๆอย่าง Pentium ก็สามารถเล่นได้ เพราะฉะนั้นถ้าท่านต้องการเล่นเกมส์เป็นหลัก หรือเน้นใช้งานแบบผสมๆไม่เฉพาะเจอะจงเน้นการ์ดจอจะดีกว่า เพราะซีพียูก็ทำงานได้เหมือนๆกัน แต่อาจจะช้ากว่าบ้าง แต่ถ้าการืดจอต่ำไปจะทำให้เล่นเกมส์ได้แย่ถึงขั้นเล่นไม่ได้เลยก็มีนะครับ
image
ส่วนตัวถ้าผมไม่ได้ทำงานแบบบ้าพลังของซีพียูเป็นหลัก ผมจะเน้นที่การ์ดจอมากกว่าครับซีพียูช้าบ้างแต่ก็เล่นเกมส์หนักๆได้ แถมยังประหยัดพลังงานอีกด้วยนะครับ เพราะแม้จะเป็นการ์ดจอแยก แต่เราก็สามารถเลือกสลับไปใช้การ์ดจอออนบอร์ดเพื่อประหยัดพลังงานได้ แต่ซีพียูเราเลือกให้สลับมาเป็นรุ่นต่ำเพื่อประหยัดพลังงานไม่ได้นะครับ