1/31/2556

วิธีใช้ connectify


วิธีใช้ connectify

วิธีใช้ connectify
การทำให้ Notebook หรือ PC เป็น WiFi Hotspot นั้นจะเป็นเรื่องง่ายๆ เพราะวันนี้ผมจะมาเล่าถึงวิธีใช้ connectify ในการทำให้เครื่องของท่านแชร์อินเตอร์เน็ตแบบไร้สายได้ โดยไม่ต้องมีโมเด็มแบบ wifi
เอาล่ะวันนี้ผมจะนำเสนอโปรแกรมที่จะทำให้เครื่องท่านเป็น WiFi Hotspot ด้วยโปรแกรม Connectify ถ้ายังไม่มีก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่นี่ เอ้าคลิกซิ !!

สิ่งที่ต้องเตรียม

  • ดาวน์โหลด Connectify มาติดตั้งที่คอมพิวเตอร์ รองรับเฉพาะ Windows 7 เท่านั้นนะครับ
ติดตั้ง Connectofy ให้เรียร้อยครับ หลังติดตั้งเสร็จจะเข้าสู่หน้าการตั้งค่าทันที ซึ่งไม่ยากเพราะว่าตัวโปรแกรมนั้นทำ Wizard มาให้เราเป็นขั้นๆ สะดวกดีครับ
เจอหน้าแรกให้คลิก Next เลยครับ
ตั้งชื่อระบบเครือข่ายอะไรก็ได้ เช่น MyWifi แต่ว่าผมขอเอาค่าเดิมๆเลยแล้วกันนะครับ กด Next
ใส่รหัสผ่าน 8 ตัวแนะนำให้ว่าให้ทั้งตัวเลขและตัวอักษร เช่น 1234abcd เป็นต้น จากนั้นกด Next
ติ๊กที่ Enable Internet Sharing (มันติ๊กมาให้อยู่แล้วกด Next ได้เลย)
เสร็จเรียบร้อยกด Finish
ตรวจสอบที่มุมล่างขวาของจอ ตัวโปรแกรม Connectify กำลังตั้งค่าอยู่ ให้รอสักพักจากนั้นเปิดไอโฟนขึ้นมาครับ
เชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่ายที่เพิ่งสร้าง
ใส่รหัสผ่าน
เชื่อมต่อกับเครือข่ายได้สำเร็จ
สังเกตุที่ตัวโปรแกรม Connectify จะแสดงว่า Connecting หากว่าเชื่อมต่อสมบูรณ์โปรแกรมจะบอกว่า Connected
วิธีใช้ connectify ที่กล่าวไปนี้คงไม่ยากเกินไปสำหรับผู้อ่านนะครับ เพราะเท่านี้ก็สามารถใช้งาน Wifi ที่เราแชร์จาก Windows 7 ได้แล้วครับ
ผู้ที่จะได้ประโยชน์เต็มๆเลยคือท่านโน้ตบุ๊คและมีสาย LAN ต่อเน็ตที่จะแชร์ Wifi ไปยังอุปกรณ์อื่นๆไม่เจาะจงว่าจะเป็นไอโฟนเท่านั้น แชร์ให้คอมฯเครื่องอื่นๆก็ได้เช่นกัน
รูปและข้อมูลส่วนใหญ่มาจาก iphonemod.net

1/30/2556

13 วิธีง่ายๆ ทำได้เองกับการประหยัดแบตเตอรี่ของ iPhone ให้ใช้งานได้ยาวนานขึ้น (iPod/iPad ก็นำไปใช้ได้นะจ๊ะ)


คงเป็นปัญหาจริงๆ สำหรับ Smartphone ในตอนนี้ ที่มีความสามารถมากมาย พร้อมกับคุณสมบัติที่ครบครัน เกินกว่าจะเป็นเพียงโทรศัพท์มือถือ แต่เมื่อเราใช้งานไม่เท่าไร บางทีไม่ถึงวันแบตเตอรี่ก็ขึ้นขีดแดงซะแล้ว ไม่เว้นแม้แต่ iPhone หรืออุปกรณ์อื่นๆ จาก Apple อย่าง iPod Touch / iPad ที่เป็นแบตเตอรี่แบบ Lithium Polymer?ซึ่งมาในวันนี้ทีมงาน SpecPhone.com ของเสนอวีธีการ เคล็ดลับง่ายๆ ทำได้เอง 13 ?ทิปเด็ดๆ ที่จะช่วยให้ iPhone ของคุณ มีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ในแบตเตอรี่ก้อนเดิมครับ
1. เก็บ iPhone ของคุณให้ห่างไกลจากความร้อน
สิ่งที่ไม่ควรอย่างแรกเลยก็คือวาง iPhone หรือ iPad ที่มีความร้อนระอุอย่างในรถ หรือแม้กระทั่งวางไว้ให้โดนแดด ซึ่งนั่นเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้พลังงานในแบตเตอรี่หมดลงอย่างรวดเร็ว รวมไปถึงยังทำให้แบตเตอรี่เสื่อมสภาพไวขึ้นอีกด้วย และแน่นอนว่า Apple ไม่ได้มีการรับประกันในส่วนนี้นะครับ
2. ปรับค่าความสว่างหน้าจอของคุณให้พอดี
รู้หรือไม่การที่เราปรับค่าความสว่างหน้าจอ (Brightness) ไว้ที่ค่าสูงสุดอยู่ตลอดเวลา จะทำให้สิ้นเปลื้องพลังงานไปอย่างมาก ซึ่งถึงแม้ว่าที่เราปรับไว้ในมีค่าความสว่างที่สูงในเวลากลางวัน ก็เพื่อให้เรามองเห็นได้อย่างคมชัด แต่ในตอนกลางคืนหรือในที่แสงน้อย ก็อย่าลืมปรับค่าความสว่างกลับมาให้ต่ำด้วย ซึ่งในที่นี้จะขอแนะนำไว้ที่ประมาณ 30% พร้อมทั้งกับเปิดฟังก์ชั่น Auto-Brightness อยู่ตลอดเวลาด้วยครับ
วิธีการ?Settings -> Brightness -> Auto-Brightness
3. ปรับเวลาการ Auto-Lock ของหน้าจอให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
นอกเหนือจากการที่เราปรับค่าความสว่างให้เหมาะสมแล้ว อีกอย่างที่ต้องปรับด้วยก็คือ เวลาในการ Auto-Lock ให้เร็วที่สุด เพื่อที่มันจะได้ปิดหน้าจออัตโนมัติลงได้อย่างรวดเร็ว โดยที่เราไม่ต้องไปสั่งมันอีกครั้งหนึ่ง ยกตัวอย่างกรณีที่เราใช้งาน iPhone เสร็จ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม หรือฟังเพลง เมื่อเราไม่ต้องการใช้งานแล้ว ก็สามารถที่จะหย่อนลงไปในกระเป๋ากางเกงได้ทันที โดยไม่ต้องไปแตะอะไรอีกเลยครับ
วิธีการ?Settings -> General -> Auto-Lock
4. เปลี่ยนไปใช้ Airplane Mode เมื่อจะไม่ใช้งานโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตนานๆ
ถ้ารู้ตัวว่าเราจะใช้งาน iPhone โดยไม่ต้องการใช้งานโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ตเป็นระยะเวลานานๆ แล้วล่ะก็ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกมส์หรือฟังเพลงก็ตาม ขอแนะนำให้ใช้ Airplane Mode ซึ่งจะทำการปิด WiFi และการเชื่อมต่อเครือข่ายทั้งหมด ส่งผลให้ยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ได้อย่างทันที อีกทั้งยังจะไม่มีอะไรมารบกวนเรา ขณะที่กำลังเล่นเกมส์สุดมัน หรือฟังเพลงสุดโปรดอยู่ด้วยครับ
วิธีการ?Settings -> Airplane Mode
5. เมื่อเราเชื่อมต่อด้วย WiFi แนะนำให้ปิด 3G ลงซะ
ถึงแม้ว่า Apple จะออกมาบอกไว้ว่า iPad มีระยะเวลาการใช้งานแบตเตอรี่ 10 ชั่วโมง เมื่อเชื่อมต่อกับ WiFi และ 9 ชั่วโมงเมื่อใช้ 3G ซึ่งสำหรับ iPhone จะเป็น 6 ชั่วโมงเมื่อใช้ 3G และ 10 ชั่วโมงเมื่อเชื่อมต่อผ่าน WiFi แต่ถ้าเมื่อไรเราสามารถที่จะเลือกเชื่อมต่อ WiFi ได้ ?แนะนำว่าอย่าลืมที่จะปิดการเชื่อมต่อของ 3G ลงด้วย เพราะไม่อย่างนั้นในการใช้งานจริง iPhone หรือ iPad เราจะใช้งานไม่ได้นานอย่างที่ Apple บอกไว้
วิธีการ?Settings -> Network -> Enable 3G
6. ปิดระบบ Push Mail เมื่อเราไม่ได้กำลังรอ Email ด่วน
อย่างที่ทราบกัน iPhone?ของเราจะทำการอัพเดท Email อยู่ตลอดเวลาโดยอัตโนมัติ ยกตัวอย่างเช่น หากเราไม่ได้กำลังรออีเมลด่วนจากใครเป็นพิเศษ ก็ไม่จำเป็นต้องเปิดการทำงานของ Push Email เพราะเพียงแค่เราใช้งาน Email เมื่อไร ตัว App เองก็จะตรวจสอบ All inboxes ให้อย่างอัตโนมัติอยู่แล้ว?สะดวกง่ายดาย แถมประหยัดแบตเตอรี่ เพราะระบบ Push Mail ไม่ได้ทำงานอยู่ตลอดเวลาด้วยครับ
วิธีการ?Settings -> Mail, Contacts, Calendar -> Fetch New Data
7. ปิดระบบการแจ้งเตือนต่างๆ (Notification)?ที่ไม่จำเป็น
หากว่าเราไม่ได้ติดตาม Twitter หรือ Facebook อยู่เป็นประจำหรือต้องการที่จะอัพเดท App ต่างๆ ตลอดเวลาอยู่แล้ว ก็สามารถที่จะปิดระบบการแจ้งเตือนเหล่านี้ (Notification)?ได้โดยทันที หารู้ไม่ว่าฟังก์ชั่น Notification ก็กินแบตเตอรี่ไม่ใช่เล่นเหมือนกัน อีกทั้งยิ่งเรามี App ที่ต้องการอัพเดทสถานะจำนวนมากเท่าไร ก็ยิ่งเปลื้องแบตเตอรี่มากขึ้นไปอีกด้วยครับ
วิธีการ?Settings -> Notification
8. ลดระดับเสียงหรือปิดระบบเสียงที่ไม่ต้องการให้ทำงาน
ถือแม้ว่ามันจะดูไม่สำคัญเท่าไรนัก สำหรับการมานั่งปรับระดับเสียงหรือปิดเสียงระบบต่างๆ แต่มันก็มีผลกับการใช้พลังงานจากแบตเตอรี่โดยตรงเลย ลองตรวจสอบดูนะครับ เสียงลำโพงดังเกินหรือเปล่า และระบบเสียงไหนที่เราไม่จำเป็นต้องใช้งานบ้างก็ทำการปิดไปได้เลยครับ
วิธีการ?Settings -> Sounds -> Ringer and Alerts
9. ปิด Location Services ในแอพพลิเคชั่นที่ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ
ถ้าเราไม่ต้องการใช้งาน Location Services ที่แอพพลิเคชั่นไหน หรือแอพพลเคชั่นไหน ไม่ได้ใช้งานบ่อยๆ ก็ทำการปิดไปได้เลย เพราะมันทำให้เปลืองแบตเตอรี่ไปพอสมควร เนื่องจากตัว iPhone เองจะใช้ชิป GPS ในการทำงาน
วิธีการ?Settings -> General -> Location Services
10. ปิด Bluetooth ทุกครั้ง หลังจากใช้งานเสร็จ
ไม่ว่าเราเปิดสัญญาณ Bluetooth เพื่อเชื่อมต่อกับ Bluetooth Headset หรือจะเป็น Bluetooth Keyboard ก็ต้องอย่าลืมที่จะปิด Bluetooth ทุกครั้ง มันจะช่วยยืดระยะเวลาการใช้งาน iPhone ของคุณไปได้อย่างแน่นอน
วิธีการ?Settings -> General?-> Bluetooth
11. ปิดคุณสมบัติการทำงานสั่น (Vibrate) ในแต่ละเกมส์
ปิดการตอบสนองของเกมส์ที่ใช้การสั่น (Vibrate)?เพื่อเสริมความสนุกสมจริงในแอคชั่นของหลายๆ เกมส์ ซึ่งการจำลองความรู้สึกโต้ตอบที่เกิดขึ้นในเกมส์นั้นๆ โดยกลไกการทำงาน ก็คือการขับมอเตอร์ลูกเบี้ยวให้หมุน ซึ่งต้องใช้พลังงานจากแบตเตอรี่นั่นเองครับ
12.?ปิดการทำงาน App ที่ไม่ใช้งานใน Multitasking
สำหรับผู้ใช้ iOS 4 ที่มาพร้อมกับคุณสมบัติ Multitasking ซึ่งสามารถการเปิดแอพพลิเคชั่นค้างไว้ได้หลายๆ อัน เทำให้เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้แบตเตอรี่หมดลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ App ที่มีการติดต่อกับอินเตอร์เน็ต อาทิ Skype สำหรับขั้นตอนการปิดก็แค่ดับเบิ้ลคลิกที่ปุ่ม Home ก็จะแสดง App ต่างๆ ที่รันค้างไว้ก็จะปรากฎขึ้น ?จากนั้นใช้นิ้วกดค้างไว้จนกากบาท (X) ปรากฎขึ้นมาที่มุมบนซ้ายของไอคอน สุดท้ายให้ใช้นิ้วแตะเพื่อปิด App นั้น เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้วครับ

13. ทำการใช้แบตเตอรี่ iPhone ให้หมด พร้อมกับชาร์จใหม่ให้เต็มบ้าง อย่างนี้เดือนละครั้ง
iPhone / iPod Touch / iPad ของเราต้องการที่จะทำการใช้แบตเตอรี่ให้หมดบ้าง พร้อมกับชาร์จใหม่ให้เต็ม (Dischange) ทำอย่างนี้เดือนละหนึ่งครั้ง เนื่องด้วยวิธีการนี้จะทำให้แบตเตอรี่ทุกเซลล์ได้มีการเปลี่ยนถ่ายประจุใช้งานบ้าง ส่งผลให้ช่วยลดการเสื่อมสภาพแบตเตอรี่ลงได้ครับ
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับวิธีการต่างๆ ทั้ง 13 ทิป ที่ทาง SpecPhone.com นำเสนอไป หวังว่าเพื่อนๆ ทุกคนจะนำไปใช้เพื่อช่วยให้ iPhone คู่ใจมีอายุการใช้งานให้ยาวนานขึ้นต่อวันนะครับ แต่ถ้าในกรณีที่ใช้งานหนักจริงๆ และ 12 ทิปนี้ยังไม่ได้ผล ก็แนะนำให้ซื้อแบตเตอรี่สำรองภายนอกมาเชื่อมต่อจะดีกว่า?ซึ่งเดี๋ยวนี้ราคาแบตเตอรี่ภายนอกเหล่านี้ก็มีราคาไม่แพงมากนัก อีกทั้งน่าจะเป็นทางออกที่เหมาะสมที่สุดแล้ว มีทั้งแบบเป็นเคสในตัวให้เลือก หรือจะเป็นแบบเชื่อมต่อภายนอกผ่าน Dock ก็มีให้เห็นอยู่ ราคาเริ่มต้นที่ไม่ถึง 1,000 บาท ไปจนถึง 2,000 กว่าบาทครับ SpecPhone.com

แนะนำและทำความรู้จักการใช้งานแอพพลิเคขั่น iMessage ที่มาพร้อมใน iOS 5

สำหรับใครที่ทำการอัพอุปกรณ์ iOS ไม่ว่าจะเป็น iPhone, iPad และ iPod Touch เป็นระบบปฏิบัติการ iOS 5 ตัวล่าสุด ซึ่งอาจจะกำลังงงๆ ว่าเราจะใช้งานคุณสมบัติ iMessage ได้จากแอพพลิเคชั่นไหน เพราะเมื่อลองหาๆ ดูแล้ว ไม่เห็นว่าจะมีแอพพลิเคชั่น iMessage เพิ่มมาให้เห็นเลย ที่ในวันนี้ทาทีมงานจะขอมาแนะนำการใช้งานกัน
สำหรับใครถ้ายังไม่ทราบว่า iMessage ไว้ทำอะไรก็ขอบอกว่าเป็นความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามาของ iOS 5 โดย iMessage นั้นจะทำหน้าที่ในการส่ง ข้อความ ภาพ วีดีโอ ผ่านทางสัญญาณ 3G/EDGE/GPRS หรือ Wi-Fi ได้ฟรีเหมือนกับ Whatsapp หรือ BlackBerry Messenger สามารถทำได้ แต่ก็มีข้อจำกัดเล็กน้อยคือ สามารถใช้งาน iMessage นี้ เฉพาะอุปกรณ์ที่เป็น iOS ด้วยกันเท่านั้น และจำเป็นต้องเป็น iOS 5 ขึ้นไปอีกด้วย
ความจริงแล้ว iMessage เป็นส่วนหนึ่งของแอพพลิเคชั่น Messages หรือจะเรียกง่ายๆ ก็คือ แอพพลิเคชั่นที่ไว้ส่งข้อความ SMS, MMS นั่นเอง โดยถ้าหากเราต้องการจะใช้งาน iMessage ก็ต้องเอาไปที่ Messages ซึ่งก็จะมีข้อที่ควรทราบด้วยกันก่อนจะใช้งานอยู่เล็กน้อยก็คือ
  • การส่งข้อความผ่าน iMessage หากคนเราที่ต้องการส่งให้ ไม่ใช้ได้อุปกรณ์ iOS 5 อย่าง iPhone, iPad และ iPod Touch เมื่อเราได้ส่ง SMS, MMS ไปนั้น จะต้องเสียอัตราค่าบริการตามปกติ ของผู้ให้บริการหรือโปรโมชั่นที่เราใช้งานอยู่
  • ในการที่เราส่งข้อความผ่าน iMessage หากผู้ที่เราต้องการส่งหานั้น ไม่ได้เชื่อมต่อสัญญาณอินเตอร์เน็ตเข้ากับอุปกรณ์ iOS ข้อความที่ส่งไป ก็จะเสียอัตราค่าบริการหรือตามโปรโมชั่นเช่นกัน
ก่อนที่จะใช้งาน iMessage จริงๆ ก็ต้องทำการตั้งค่ากันเล็กน้อยเสียก่อน
- เริ่มจากเข้าไปที่ Setting แล้วเลือกไปที่ Messages
- ปรับ iMessage ให้เป็น On เพื่อเปิดการใช้งาน
- ปรับ Send Read Receipts ให้เป็น On เพื่อแจ้งอีกฝ่ายว่าเราได้เปิดข้อความอ่านแล้ว
- เปิด Send As SMS หากต้องการส่ง SMS แทน iMessage เวลาที่ iMessage ไม่พร้อมใช้งาน แต่แนะนำว่าในส่วนนี้ถ้าไม่มีโปรโมชั่น SMS ให้ปิดเอาไว้ครับ เพื่อป้องกันการเสียค่าบริการ
- Receive At จะเป็นการเลือก เบอร์โทรศัพท์หรือ Apple ID ให้เป็นตัวแทนที่ติดต่อของเรา ที่โดยปกติแล้ว iPhone จะกำหนดให้เป็นเบอร์โทรศัพท์ ส่วน iPad, iPod Touch จะเป็น Apple ID
สำหรับการใช้งานเริ่มต้นง่ายๆ เพียงเราเข้าไปที่แอพพลิเคชั่น Messages
- เลือกไปที่บุคคลที่เราต้องการส่ง iMessage ผ่านเบอร์โทรศัพท์หรือ Apple ID
- สังเกตได้ว่าในช่องข้อความ จะมีคำว่า iMessage ขึ้นโชว์เอาไว้ พร้อมกับปุ่ม Send จะเป็นสีฟ้า
- หรือถ้าหากเราต้องการที่จะส่งเป็นภาพหรือวีดีโอ ก็สามารถเลือกไปที่โลโก้กล้องได้
- ถัดมาจะเป็นรูปแบบของการส่งข้อความ SMS แบบปกติ ที่ในช่องกรอกข้อความจะเป็นคำว่า Messages และปุ่ม Send จะเป็นสีเขียว
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ กับการใช้งานของ iMessage ไม่ยากเลยใช่ไหมครับ ซึ่งในส่วนนี้ Apple ได้สร้างขึ้นมาเพื่อให้อุปกรณ์ iOS สามารถส่งข้อความหากันได้ จากเดิมที่ต้องอาศัยเฉพาะ Whatsapp ในการส่งความเท่านั้น แน่นอนว่ามันใช้ได้เพียงใน iPhone เท่านั้น หรือไม่ก็ข้ามเป็นสมาร์ทโฟนระบบอื่นๆ ไปเลย
iMessage จึงได้มาเติมเต็มส่วนนี้ ที่เปิดให้อุปกรณ์นอกเหนือจาก iPhone อย่าง iPad, iPod Touch ส่งข้อความหาได้กัน เพราะเผื่อว่าคนรู้จักของเรามีอุปกรณ์ iOS จะได้ส่งมากันฟรีๆ ครับ ที่อย่างไรก็ตาม แนะนำว่ายังไงสำหรับใครที่ใช้ iPhone อยู่แล้ว ก็ยังจำเป็นต้องมี Whatsapp อยู่นะครับ เพราะ iMessage เอาเข้าจริงๆ แล้วก็ยังไม่สามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบเท่า ดูง่ายๆ จากการที่เมื่อปลายทางไม่ได้เชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ก็จะปรับเป็นการส่ง SMS ไปซะอย่างงั้น (เสียตังค์ ไม่ฟรี) ไม่สามารถที่จะฝากไว้ที่เซิร์ฟเวอร์กลางได้ โดยเมื่อปลายทางได้เชื่อมต่อเน็ตเมื่อไหร่ ข้อความจึงจะส่งให้ถึงอีกครั้งได้ครับ :D

วิธีสมัคร Apple ID แบบฟรีๆ ไม่ต้องใช้บัตรเครดิต


หลังจากที่เขียนบทความเกี่ยวกับ Apps ไปหลายอัน ผมก็พึ่งนึกได้ว่า ผมยังไม่ได้สอนวิธีการสมัคร Appstore เลยนี่หว่า 55+ บางคนก็อาจจะมี Apple ID อยู่แล้วเพราะตอนซื้อที่ร้านสมัครให้ แต่พอจะมาสมัครเอง กลับสมัครไม่ได้ซะงั้น เพราะติดว่าไม่มีบัตรเครดิต กดไม่ถูก ฯลฯ วันนี้ผมจะมาสอนแบบ Step by Step ให้ดูนะครับ
สิ่งที่ต้องมี 1. โปรแกรม iTunes 2. อินเตอร์เน็ต 3. คอมพิวเตอร์หรือจะสมัครใน iOS Device ก็ได้ครับ
ขั้นแรก เปิด iTunes ขึ้นมาเลยครับแล้วเข้าไปที่ iTunes Store ถ้าเป็น iOS ก็ให้เข้าที่ Appstore เลยครับผม
ก่อนอื่นให้เช็คก่อนนะครับว่า iTunes Store ของเราเนี่ยเข้าถูกประเทศหรือเปล่า(โดยปกติจะเป็นประเทศไทยอยู่แล้วแต่เผื่อว่าบังเอิญไปกดเปลี่ยนเข้าครับ) iTunes เลื่อนลงมาข้างล่างสุดครับ
จะเห็นรูปธงชาติอยู่มุมล่างขวาครับมันจะเป็นตามประเทศที่เราเลือกอยู่ถ้าไม่ใช่ธงชาติไทยก็ให้กดเปลี่ยนได้เลยครับ
จากนั้นให้เลือกกด โหลด Apps ฟรีอะไรก็ได้ 1 App (ขั้นตอนนี้สำคัญมากนะครับ อย่าข้ามเด็ดขาดไม่งั้นจะไม่สามารถสมัครแบบไม่มีบัตรเครดิตได้) แล้วมันจะขึ้นมาถามหา Account ของเรา ให้เรากด Create Apple ID เพื่อสร้าง Account ใหม่ได้เลยครับ
ถึงตรงนี้ก็กด Continue ได้เลยครับไปเรื่อยๆได้เลยครับ
อย่าลืมติ๊กถูกตรงข้างล่างก่อนด้วยละไม่อย่างนั้นมันจะไม่ยอมให้ดำเนินขั้นตอนต่อไป
ถึงตรงนี้จะให้กรอกรายละเอียดจำพวก E-mail, Password, Secret Question, Birth Day รายละเอียดตรงนี้สำคัญมาก สำคัญกว่าชื่อที่อยู่ของเราอีก เพราะถ้าเราลืมส่วนใดส่วนหนึ่งของรายละเอียดเหล่านี้ ถ้าเกิดลืมพาสขึ้นมาแล้วจะกู้ยากมาก
ปล.  รหัสต้องมีตัวเลขตัวอักษรตัวเล็กและตัวใหญ่ อย่างน้อยประเภทละหนึ่งตัวครับ และรวมทั้งหมดไม่น้อยกว่า 8 ตัวครับ
จากนั้นจะเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับการจ่ายเงินครับ ซึ่งถ้าเราไม่ได้กดโหลด Apps ฟรีในตามที่พูดไว้ในข้างต้น ก็จะไม่สามารถเลือกตัวเลือก None (ไม่มีบัตรเครดิต) ได้ เพราะมันจะบังคับให้เราสมัคร Account แล้วผูกกับบัตรเครดิตเลย (ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทาง Apple เค้าอะไรยังไงทำไมถึงไม่ยอมขึ้นคำว่า None เลยตั้งแต่แรกไม่ว่าจะสมัครทางไหนก็ตาม) ก็จะให้กรอกรายละเอียดพื้นฐานครับเช่นชื่อที่อยู่ เป็นต้น หลังจากเสร็จสิ้นขั้นตอนนี้ก็เพียงแต่รอเช็คเมล์ตามอีเมล์ที่เราได้กรอกไว้เพื่อยืนยันการสมัครสมาชิกและจากนั้นเราก็จะสามารถใช้ User นั้นโหลด Apps บน Appstore ได้แล้วคร้าบบบบบ

เคล็ดไม่ลับประหยัดแบท iPhone


บางคนอาจจะประสบปัญหา iPhone แบทหมดก่อนเวลาอันควรใช้งานกันไม่ทันจะหมดวันเครื่องก็ดับไปซะแล้ว หรือแบทใกล้จะหมดแล้วต้องการจะประหยัดพลังงานของ iPhone เพื่อยืดอายุการใช้งานให้มากที่สุด วันนี้เลยจะมาบอกกันให้ฟังครับว่ามีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้แบทของ iPhone นั้นหมดเร็ว
1. Location Services
หนึ่งในตัวดูดแบทตัวสำคัญของ iPhone ถ้าไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้มากก็ปิดสนิทไปเลยครับ หรือคนไหนที่ใช้งาน Find my iPhone หรือ Apps อื่นๆที่ต้องพึ่ง Location Service จริงๆก็ค่อยๆเลือกปิดไปทีละตัวก็ได้ครับ ยิ่งปิดเยอะยิ่งช่วยประหยัดพลังงานให้เยอะขึ้นได้มาก
วิธีการเข้า Setting > Location Services
2. 3G / Edge
3G เก็บไว้ใช้ยามจำเป็นก็ได้ครับผมเพราะบางที Edge ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป แล้วเมื่อแบท iPhone เหลือต่ำกว่า 20% ถ้าไม่จำเป็นจะต้องใช้ Edge หรือ 3G จริงๆ แนะนำว่าให้ปิดไปก่อนก็ดีครับเพราะเผื่อเกิดมีใครจะติดต่อโทรมาหรือเราต้องโทรหาใครแบบเร่งด่วนอย่างน้อยจะได้มีแบทเหลือไว้สำหรับโทรได้
วิธีการเข้า Setting > General > Network
Enable 3G = การปิด/เปิดการใช้งาน 3G , Cellular Data = การปิด/เปิดการใช้งาน Edge
 
3. Wifi / Bluetooth / HotSpot
ถึงแม้เราอาจจะไม่ได้ใช้งานมันเป็นหลักแต่หลังการใช้งานทุกครั้งอย่าลืมปิดมันนะครับ
วิธีการเข้า Setting > Wifi, Setting > General > Bluetooth, Setting >Personal Hotspot
 
4. Brightness
ความสว่างหน้าจอนี่ถือเป็นปัจจัยหลักเลยก็ได้ ยิ่งหน้าจอส่องแสงออกมามากเท่าไหร่ ยิ่งใช้พลังงานมากขึ้นเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องปรับจนสว่างเกินไปครับ แล้วก็อย่างกแบทจนปรับมืดเกินไปด้วย เอาให้พอดีๆกับสายตาเราครับ แต่ในกรณีที่แบทใกล้หมดจริงๆค่อยปรับมืดลงกว่าปกติก็ได้เพื่อยืดอายุการใช้งานให้มากที่สุด
วิธีการเข้า Setting > Brightness
 
5. Background Apps
เมื่อใช้งาน Apps อะไรเสร็จแล้วก็ตามอย่าลืมกด Home 2 ทีเพื่อเปิด Multitasking แล้วจิ้มค้างไว้ที่ Apps ใด Apps หนึ่งจากนั้นกดปิด Apps ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วด้วยนะครับ
 
6. Notification
ให้เลือกเปิดเฉพาะ Notification ที่จำเป็นเท่านั้น เพราะทุกครั้งที่ Notification เด้งขึ้นมา iPhone ของคุณต้องทั้งส่องแสง ทั้งส่งเสียง ทั้งสั่น ทำให้กินพลังงานไปส่วนหนึ่งเหมือนกัน
วิธีการเข้า Setting > Notification
 
7. Push Mail
ในกรณีที่วันนั้นเราไม่ได้มี E-mail อะไรที่สำคัญมากนักก็สามารถปิดการ Push mail ได้หรือจะปรับเป็น Manually ให้เช็คเฉพาะตอนที่เรากดเข้าไปดูก็ได้
วิธีการเข้า Setting > Mail > Fetch New Data
 
และพิเศษสำหรับขา Jailbreak เรามี App พิเศษที่เรียกว่า SBsetting ซึ่งจะช่วยให้เปิดปิดการใช้งานของ Feature เหล่านี้ง่ายยิ่งขึ้น ไม่ต้องเข้าๆออกๆเจ้า Setting ปกติใน iPhone สามารถหาโหลดได้จากใน Cydia แล้ววันนี้
ถ้าเกิดหากทำขั้นตอนทั้งหมดนี้แล้วยังไม่สามารถช่วยอะไรได้มากหรือไม่ค่อยสะดวกที่จะปิดการใช้งาน Feature เหล่านี้ ก็สามารถหาซื้อแบทเสริมมาใช้กันได้นะครับ ราคาไม่ค่อยแพงแล้วเดี๋ยวนี้ สามารถพกพาไปไหนก็ได้สะดวกดีเป็นอีกหนึ่งคำแนะนำครับผม