8/20/2556

CPE17 Autorun Killer โปรแกรมช่วยเครื่องกันไวรัสจากแฟลชไดรฟ์

วันหนึ่งๆ ของเรามีการรับส่งไฟล์ผ่านทางพอร์ต USB กันหลายต่อหลายครั้ง แต่เราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ไวรัสตัวร้ายที่แฝงมากับแฟลชไดรฟ์จะบุกเข้ามาทำร้ายเครื่องของเราเมื่อไหร่ ซึ่งถ้าใครมีการเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้าสู่คอมพิวเตอร์อยู่บ่อยๆ ล่ะก็ ทางทีมงานแนะนำโปรแกรม CPE17 Autorun Killer มาติดตั้งเอาไว้ในเครื่องจะช่วยป้องกันได้ระดับหนึ่งทีเดียว
19-07-2013 13-54-01
ถ้าใครไปร้านรับปริ้นท์งานจะคุ้นหน้าต่างนี้แน่นอน
โปรแกรมจะแสดงหน้าต่างสีเขียวนี้ขึ้นมาทุกครั้งเมื่อมีการเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับตัวเครื่องของเรา ซึ่งถ้าเป็นสีเขียวก็สบายใจได้ว่าไม่มีไฟล์ไวรัสใดๆ เข้ามาทำร้ายเครื่องรักของเราแน่นอน แต่ถ้าเป็นสีแดงเมื่อไหร่โปรแกรมจะจัดการให้โดยอัตโนมัติ สำหรับโปรแกรมนั้นจะไม่มีไอคอนที่หน้า Desktop เหมือนกับโปรแกรมหลักๆ ที่เขียนขึ้นมา แต่โปรแกรมจะซ่อนตัวเองอยู่ที่แถบ Taskbar ด้านข้าง
19-07-2013 15-19-19
เวลาเราต้องการใช้งานก็เพียงคลิกขวาหนึ่งครั้งที่ไอคอนเพื่อเปิดแถบคำสั่งออกมาเพื่อเรียกใช้งานได้ ว่าเราต้องการให้ตัวโปรแกรมแสกนที่ส่วนไหนของคอมพิวเตอร์บ้าง แล้วต้องการให้แสกนแบบเบื้องต้นหรือจะให้เช็คโดยละเอียดก็เลือกได้ที่ส่วนนี้ รวมทั้งมีคำสั่ง Vaccine ให้จัดการกับไฟล์ที่ติดไวรัสได้อีกด้วย
19-07-2013 13-54-50
คำสั่ง Options จะสามารถเลือกได้ว่าเราต้องการตั้งค่าให้โปรแกรมทำอะไรบ้าง ซึ่งถ้าเราต้องการให้โปรแกรมทำงานอย่างไร ก็ให้ติ๊กถูกแล้วกด OK เพื่อบันทึกการตั้งค่าเอาไว้ได้เลย
19-07-2013 13-55-04
นอกจากนี้ยังมีส่วนของ Activity Logging เพื่อเช็คได้ว่าเคยมีเหตุการณ์ที่ไวรัสเข้าเครื่องมาในตอนไหนบ้าง โดยข้อมูลทั้งหมดจะถูกเก็บเอาไว้ที่ส่วนนี้ให้เราเช็คดูได้ด้วย
เป็นโปรแกรมเล็กๆ โปรแกรมหนึ่งเพื่อคนที่ต้องเชื่อมต่อแฟลชไดรฟ์เข้ากับเครื่องบ่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นของเพื่อนหรือของเราก็ตาม ทางทีมงานก็แนะนำให้ติดตั้งโปรแกรมนี้เอาไว้ในเครื่องเพื่อป้องกันไวรัสที่จะเข้ามาจู่โจมให้เครื่องเกิดปัญหาจะคุ้มกว่าที่จะต้องมานั่งเสียเวลากู้ข้อมูลและตั้งค่าตัวเครื่องใหม่มาก

Download : CPE17 Autorun Killer ; File Size = 152 KB

วิธีสมัคร Apple ID โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต เพื่อโหลด App ฟรี

เรียกได้ว่าเป็นอะไรที่มือใหม่ iPhone, iPad, iPod Touch หรือ Apple TV รวมไปถึง Mac, MacBook ควรจะทราบเอาไว้และขาดไม่ได้เลย เพราะถ้าหากเราต้องการที่จะดาวน์โหลดโปรแกรมฟรี หรือโปรแกรมที่ต้องจ่ายเงินผ่านบัตรเครดิต ต้องทำการผ่านทาง App Store / iTunes Store ที่ต้องอาศัย Apple ID ทั้งนั้น ในการยืนยันการทำการดาวน์โหลด
ที่สำคัญคือ หากเราไม่มีหรือไม่อยากใช้บัตรเครดิตก็สามารถสมัครได้ทันที ไม่หงุดหงิดเสียอารมณ์เอาล่ะครับ มาเข้าสู่ขั้นตอนการสมัครที่ทำกันได้ง่ายๆ เลยดีกว่า…

1
- เปิดโปรแกรม iTunes ขึ้นมา จากนั้นเลือกไปที่ iTunes Store เราก็จะพบกับหน้าตาของ App Store ถ้าสังเกตเห็นกันเราจะเห็นมุมซ้ายบนของโปรแกรมมีคำว่า Sign In อยู่ แต่แน่นอนว่าเราไม่เข้าแบบปกติอยู่แล้ว เพราะว่าเราจะสมัครโดยไม่ใช้บัตรเครดิตเป็นหลัก
2
- ถัดมาให้เราเข้ามาที่แถบเมนู App Store จากนั้นก็เลื่อนหน้าต่างลงมาดู เราก็จะพบกับหมวดจัดอันดับ Free Apps อยู่ ให้เราเลือกไปที่ App ใด App หนึ่ง และคลิกไปที่ Free ทันที
3
- เราก็จะเจอหน้าต่างที่ให้เราทำการล็อกอินเข้าไป ดังรูปด้านบน แต่แน่นอนว่าเรายังไม่มี Apple ID เลยซะหน่อย หรือเคยทำการสมัครมาก่อนด้วยซ้ำ เอาล่ะครับ ไม่ต้องคิดมาคลิกไปที่คำว่า Create New Account ได้ทันที
4
- เราจะเจอหน้าจอต้อนรับในการสมัครบัญชีของ iTunes Store ที่ให้เราหยุดอ่านสรรพคุณซักเล็กน้อย แล้วคลิกไปที่ Continue ได้เลยครับ
5
- หน้าจอถัดมาก็คือข้อตกลงที่เกี่ยวข้องกับเงื่อนไขและข้อตกลงของทาง Apple ซึ่งเมื่อเราได้ทำการอ่านจนหมดแล้ว (ไม่ต้องอ่านก็ได้นะครับ ^^) ก็ให้เลือกติ๊กถูกไปที่ “ฉันได้อ่านและยอมรับข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวแล้ว” ก็คลิกไปที่ Continue ได้เลย
6
- หน้าจอต่อมาเป็นหน้าจอในการสร้าง Apple ID จริงๆ แล้วล่ะครับ ซึ่งสิ่งที่ Apple ต้องการข้อมูลจากเราก็มีดังนี้
  • Email : อีเมลล์ที่เราใช้งานอยู่หรือที่เราต้องการไว้ใช้สมัคร
  • Password : การตั้งรหัสผ่านสำหรับ Apple ID (โดยมีเงื่อนไขรหัสนั้นต้องมีอย่างน้อย 8 ตัว และประกอบ ตัวเลข ตัวอักษรทั้งขนาดเล็ก / ขนาดใหญ่ ปนกันอยู่)
  • Verify Password : คือการกรอกรหัสผ่านเดิม ที่เหมือนกับช่องข้างบนลง
  • Question : คำถามกันลืมรหัสผ่าน (โดยเราจะตั้งคำถามอะไรก็ได้)
  • Answer : คำตอบที่ไม่จำเป็นต้องตรงคำถามด้าบบน
  • Date of Birth : วันเ ดือน ปีเกิด ที่เราสามารถเลือกได้ตามใจชอบ อยากแก่ อยากเด็กก็ว่ากันไปงานนี้
จากนั้นให้ติ๊กเลือกเพื่อรับข่าวสารต่างๆ ของ Apple ผ่านทางอีเมลล์ที่เราสมัคร (หรือถ้าไม่ต้องการก็ไม่ต้องติ๊กเลือก) และสุดท้ายสำหรับหน้านี้ก็คือการคลิก Continue เพื่อไปต่อ
7
- และแล้วก็มาถึงส่วนที่สำคัญสำหรับคนที่ไม่ต้องการใช้บัตรเครดิตสมัคร รวมไปถึงไม่มีบัตรเครดิตอยู่แล้ว ส่วนใครใคร่สมัครด้วยบัตรเครดิตก็สามารถดำเนินการได้ทันที เรียกได้ว่า Happy กันทั้ง 2 ฝ่าย โดยสิ่งที่ทาง Apple ต้องการข้อมูลมีดังนี้
  • Payment Method : เลือกวิธีชำระเงินให้เราเลือก None ไปเลยครับสำหรับคนที่ไม่มีบัตรเครดิตหรืออยากใช้แต่ของฟรี ถ้ามีและต้องการใช้ก็เลือกไปตามบัตรเครดิตนั้นๆ ได้ทันทีครับ
  • Titile : คำนำหน้า
  • First Name : ชื่อ
  • Last Name : นามสกุล
  • Address : ที่อยู่
  • Town : เมือง
  • Postcode : รหัสไปรษณีย์
  • Phone : เบอร์โทรศัพท์
ข้อมูลทั้งหมดนี้ เราสามารถที่จะกรอกใส่ไปตามสะดวก เพราะแก้ไขในเว็บอีกทีก็ทำได้ ตอนนี้ให้สมัครผ่านไปก่อนหรือใครจะใส่ให้เรียบร้อยตรงกับความจริงก็ไม่ว่ากัน และเมื่อกรอกครบหมดแล้วก็คลิกคำว่า Continue ได้เลยครับ
8
- หน้าต่อมาเราจะพบกับข้อความที่แจ้งให้เราไปทำการเช็คอีเมลเพื่อยืนยันการสมัครครับ โดยเรากดสามารถกด Done ได้ทันที ซึ่งเราก็เสร็จในส่วน iTunes ตรงจุดนี้เลย ไปเปิดเว็บบราวเซอร์เพื่อดูอีเมลจาก Apple กันดีกว่า
9
- และเราจะพบเจอกับอีเมลลฉบับหนึ่งที่ส่งจาก Apple จากนั้นเราก็คลิกไปที่คำว่า Verify Now ได้เลย แล้วเราจะถูกนำเข้าไปสู่ เว็บไซต์ของ Apple ครับ
10
- ซึ่งในหน้าเว็บไซต์นั้นจะมีการให้เรากรอก Apple ID พร้อมกับรหัสผ่าน เพื่อยืนยันอีกครั้ง เพื่อยืนยันตัวตนว่าเป็นเจ้าของอีเมลดังกล่าวจริงๆ และเป็นการยืนยันอีกว่าเป็นเจ้าของ Apple ID นี้จริงๆ
11
- จากนั้นเราก็จะพบกับหน้าสุดท้ายที่แจ้งว่า Apple ID ของเราพร้อมใช้งานแล้ว สามารถไปดาวน์โหลดได้ที่ iTunes Store หรือ App Store ได้ทันที ซึ่งเมื่อเราคลิกไปที่ Return to The Store ระบบจะทำการนำเราเข้ามายังโปรแกรม iTunes พร้อมกับล็อกอินอัตโนมัติให้พร้อมสำหรับการดาวน์โหลด App ได้ตามต้องการครับ
 
หวังว่าทั้ง 11 ขั้นตอนการสมัคร Apple ID ที่ทาง NotebookSPEC.com ได้แนะนำไป คงเป็นประโยชน์ให้กับมือใหม่ iPhone, iPad, iPod Touch และ Mac ทุกๆ ท่านนะครับ หลังจากนี้ถ้าใครมีปัญหาอะไรหรือติดขัดตรงไหนก็สามารถโพสสอบถามกันได้ทันที และจากนี้ไปเราจะทยอยส่งบทความที่เป็นประโยชน์กับแฟนๆ Apple ให้มากยิ่งขึ้นครับ

Driver Genius Professional โปรแกรมหาไดร์เวอร์ที่หายไปในเครื่อง

เวลาซื้อโน้ตบุ๊กมาใหม่หรือมีคอมพิวเตอร์แล้วหาแผ่นไดร์เวอร์ไม่เจอจะไปค้นที่หน้าเว็บไซต์ผู้ผลิตเองก็ไม่สะดวกอย่างนี้ หลายคนอาจถอดใจไปแล้วก็ได้แต่อย่างไรก็ตามเมื่อคนมีปัญหาเช่นนี้เหมือนกันทำโปรแกรมสำหรับค้นหาและติดตั้งไดร์เวอร์มาให้ใช้งานอย่าง Driver Genius Professional ที่จะช่วยหาไดร์เวอร์ที่ตรงกับฮาร์ดแวร์ที่ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องของเรามาติดตั้งให้โดยอัตโนมัติ
1
เมื่อเริ่มต้นใช้งานที่หน้า Home นั้น ตัวโปรแกรมจะมีคำสั่งให้เราสามารถสแกนไดร์เวอร์ที่ยังไม่ได้อัพเดทหรือเป็นไดร์เวอร์ที่ไม่ได้ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องก็สามารถหามาติดตั้งได้โดยกดที่คำสั่ง “Start Scan” สีเขียวเพื่อเริ่มทำงานได้ในทันที
2
พอกดแล้วตัวเครื่องจะแสกนหาไดร์เวอร์ภายในเครื่องในทันทีและเราจะไม่สามารถสลับไปใช้งานฟังก์ชั่นอื่นของโปรแกรมนี้ได้ โดยขั้นตอนนี้จะกินเวลาสักครู่หนึ่ง แนะนำให้ปล่อยโปรแกรมทำงานไปสักครู่แล้วค่อยกลับมาดูก็ได้ว่าตอนนี้โปรแกรมแสกนเครื่องไปถึงขั้นตอนไหนแล้ว
3
ตัวเครื่องจะแสดงไดร์เวอร์ที่ตกหล่นไปว่ามีไดร์เวอร์ไหนบ้าง โดยจะแสดงเป็นตัวอักษรสีแดงว่าตอนนี้ไดร์เวอร์ไหนบ้างที่ขาดไปแล้วมีอีกกี่ไดร์เวอร์ที่ต้องอัพเดท โดยเราสามารถเลือกได้ว่าต้องการอัพเดททันทีโดยกด Update drivers now หรือจะกดคำสั่ง Ask me later เพื่อรอเอาไว้อัพเดทภายหลังก็ได้เช่นกัน
4
สิ่งหนึ่งที่ผู้ใช้ต้องเข้าใจคือโปรแกรมนี้ไม่ใช่โปรแกรมฟรี ดังนั้นจึงจำเป็นต้องสั่งซื้อผ่านทางออนไลน์ให้ทางเจ้าของผู้พัฒนาโปรแกรมส่ง License Code มาให้ โดยราคาของโปรแกรมนี้สำหรับคอมพิวเตอร์ 1 เครื่องนั้นอยู่ราว 1,000 บาทด้วยกัน ซึ่งราคานั้นโดยส่วนตัวแล้วทางทีมงานเห็นว่าถ้าใครที่ต้องการให้ไดร์เวอร์ได้รับการอัพเดทอยู่เสมอก็แนะนำให้ชำระเงินเอาของแท้มาใช้งานจะดีกว่า
5
ตัวโปรแกรมจะแสดงไดร์เวอร์ที่ต้องการอัพเดทให้เรา ซึ่งเราสามารถกดที่คำสั่ง Fix now เพื่อจัดการอัพเดทหรือติดตั้งไดร์เวอร์ให้เป็นเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดได้เลย
6
ส่วนของการแบ็คอัพไดร์เวอร์นั้นเมื่อเรากดแล้วตัวโปรแกรมจะจัดการแสกนตัวไดร์เวอร์ให้เราแล้วเก็บข้อมูลทั้งหมดให้เราโดยอัตโนมัติแล้วโปรแกรมจะถามว่าเราต้องการแบ็คอัพส่วนใดและที่ไหนบ้าง
8
ในส่วนของ Hardware Info เองก็เป็นอีกคำสั่งหนึ่งที่เอาไว้เช็คฮาร์ดแวร์ของเครื่องเราได้อย่างละเอียดทีเดียวไม่ว่าจะเป็นระบบปฏิบัติการ, ซีพียู, เมนบอร์ดของเราว่าเป็นเวอร์ชั่นไหนอย่างไรบ้าง โดยเราสามารถเช็คตัวเครื่องได้อย่างละเอียดมากทีเดียว ซึ่งถ้าใครอยากได้โปรแกรมนี้ไปใช้งานก็สามารถดาวน์โหลดได้ที่ลิ้งค์ด้านล่างนี้เลย

Download : Driver Genius Professional ; File Size = 10.2 MB

DiskCheckUp เช็คสุขภาพของฮาร์ดดิสก์ได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง

เวลาใช้งานฮาร์ดดิสก์ไปสักพักหนึ่งแล้ว หลายๆ คนอาจจะไม่แน่ใจว่าฮาร์ดดิสก์ของเรายังสามารถทำงานได้ดีเท่าเดิมหรือไม่แต่จะใช้โปรแกรมอะไรเพื่อเช็คการทำงานนั้น เชื่อว่าหลายๆ คนเองก็ยังไม่ทราบอีกด้วย แต่ครั้งนี้ทางทีมงานมีโปรแกรม DiskCheckUp มาแนะนำและใช้งานง่ายๆ เพียงแค่ไม่กี่คลิกเท่านั้น นอกจากนี้โปรแกรมยังมีขนาดเล็กอีกด้วยเพียง 1 MB ก็สามารถเช็คได้แล้วว่าฮาร์ดดิสก์ของเราสามารถทำงานได้ดีหรือไม่ และโปรแกรมนี้สามารถใช้งานกับฮาร์ดดิสก์แบบ SSD ได้อีกด้วย
1
สำหรับหน้าแรกของโปรแกรมจะแสดงข้อมูลของเครื่องเราว่ามีฮาร์ดดิสก์ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องจำนวนกี่ลูกด้วยกัน โดยจะแสดงอยู่ที่แถบด้านบนเหนือแท็บคำสั่งต่างๆ ที่เอาไว้ตรวจสอบฮาร์ดดิสก์ที่อยู่ด้านใต้นี้ ซึ่งส่วนของ Device Info จะแสดงข้อมูลของฮาร์ดดิสก์ลูกที่เราเลือกเป็นอย่างไร มีพื้นที่ภายในเท่าไหร่และเป็นยี่ห้อใด
2
ถัดมาในส่วนของ SMART Info จะแสดงข้อมูลว่าฮาร์ดดิสก์ของเราเคยเกิดปัญหาอะไรและข้อมูลส่วนต่างๆ ของฮาร์ดดิสก์ที่ติดตั้งเอาไว้ในเครื่องของเรา ซึ่งถ้าในกรอบ Status ที่วงสีแดงเอาไว้ยังขึ้นคำว่า OK อยู่ ก็สบาใจได้ว่าฮาร์ดดิสก์ของเรายังอยู่ในสภาพดีและใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพนั่นเอง
3
ถัดมาในส่วนของ Disk Self Test นั้นจะทดสอบการทำงานของฮาร์ดดิสก์ของเราว่าเกิดปัญหาส่วนไหนบ้าง โดยเราสามารถกดที่ปุ่ม Start Test เพื่อตรวจสอบการทำงานได้ว่าฮาร์ดดิสก์เกิดปัญหาระหว่างทำงานหรือไม่ ซึ่งถ้าในช่อง Status ที่อยู่ถัดลงมาแสดงค่าว่า “The last self-test routine completed without error” ล่ะก็ แสดงว่าฮาร์ดดิสก์ของเราสามารถทำงานได้เต็มที่โดดไม่เกิดการ Error ขึ้นมาระหว่างทำงานแน่นอน
ถึงจะเป็นโปรแกรมเล็กๆ แต่ก็ใช้งานได้ง่ายและตรวจสอบว่าฮาร์ดดิสก์ของเราได้ว่ายังอยู่ในสภาพที่ดีหรือไม่ ซึ่งเราสามารถทราบได้ก่อนเกิดความเสียหายเช่นนี้เราก็สามารถป้องกันเอาไว้ได้ก่อนที่จะสายเกินไป และถ้าไม่มั่นใจก็สามารถนำไปให้ช่างทำการซ่อมแซมได้อีกด้วย แต่อย่าลืมเซฟไฟล์งานสำคัญเก็บเอาไว้ในที่ๆ ปลอดภัยก่อนด้วย ไม่เช่นนั้นจะลำบากใจภายหลังเอานะ

ลบไฟล์ไม่ตั้งใจ กู้คืนได้ด้วย PC Tool File Recover

เป็นเรื่องปกติในปัจจุบันที่ผู้คนส่วนใหญ่จะพบปัญหาในเรื่องของการจัดเก็บไฟล์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหาพื้นที่เก็บ ไปจนถึงเรื่องของไฟล์เสียหรือไฟล์หาย ต้องกู้ไฟล์ ซึ่งเป็นปัญหาที่ทำให้หลายคนต้องเสียเงินไปจำนวนไม่น้อยในการแก้ปัญหาเหล่านั้น โดยเฉพาะในเรื่องความเสียหายที่เกิดกับไฟล์ทั้งในแง่ของอุปกรณ์หรือการลบไฟล์หรือฟอร์แมตไดรฟ์ผิดก็ตาม แต่เมื่อมีปัญหา ก็ย่อมจะมีทางออก เช่นเดียวกับซอฟต์แวร์ที่ใช้สำหรับการกู้คืนไฟล์ตัวดังกล่าวนี้ ในชื่อของ PC Tool File Recover นั่นเอง ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์ที่จะมาช่วยกู้คืนไฟล์เหล่านั้นให้ ที่สำคัญยังรองรับ Windows 8 อีกด้วย

1
เปิดโปรแกรมขึ้นมา ให้ดูที่หน้าแรกจะมีสถานะในการสแกนทั้งแบบ Quick Scan และแบบ Advance Scan โดยเลือกปรับเงื่อนไขในการสแกนและการค้นหาได้ด้วยตัวเอง
2
ให้เลือกที่ไดรฟ์ที่ต้องการค้นหาว่าเป็น C:, D:, E: หรือไดรฟ์อื่นๆ รวมถึงการกรองไฟล์ จากนั้นเลือกที่ Start Scan ทางด้านขวามือได้ทันที
3
เมื่อการสแกนเสร็จสิ้น ก็จะรายงานไฟล์ต่างๆ โดยที่มีการแยกไฟล์ออกเป็นหมวดหมู่ ไม่ว่าจะเป็น Picture, Document, Compress file และอื่นๆ โดยจะแจ้งจำนวนไฟล์แต่ละชนิดทั้งหมดและในแท็บที่เป็น Directory
4
ถ้าต้องการดูพื้นที่ในการจัดเก็บไฟล์เหล่านั้น ให้เลือกที่ Browse for Folder ระบบจะพาเข้าไปยังโฟลเดอร์นั้นให้ ซึ่งขั้นตอนต่อไปก็เหลือเพียงจัดเก็บไฟล์เหล่านั้นที่กู้คืนมาได้
ในการกู้ไฟล์ ให้คลิกที่ Setting ทางด้านซ้ายมือ แล้วเลือกตำแหน่งที่จะใช้ในการจัดเก็บไฟล์ ที่หัวข้อ Save Recovered File To : แล้วคลิกที่ปุ่ม Recover

แก้ไขปัญหาแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กชาร์จได้ไม่เต็ม 100%

ปัญหาที่เกิดขึ้นในเรื่องของการชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กได้ไม่เต็ม 100% นั้น ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนค่อนข้างกังวล โดยเฉพาะเวลาที่ต้องนำโน้ตบุ๊กไปใช้งานนอกสถานที่ ก็ไม่รู้ว่าแบตฯ จะหมดลงเมื่อใดหรือจะใช้ได้นานมากมั้ย สาเหตุดังกล่าวนี้เป็นเพราะแบตฯ เสื่อมหรือเกิดจากปัญหาของซอฟต์แวร์จัดการระบบพลังงานที่มีการตั้งค่า Power Management ผิดพลาดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ล้วนมีส่วนในการทำให้เกิดปัญหาการชาร์จไม่เต็ม 100% ด้วยกันทั้งนั้น รวมไปถึงพฤติกรรมการใช้งานและขาดการดูแลรักษาของผู้ใช้เองด้วย
แต่ก่อนที่จะไปถึงการแก้ไขปัญหาในด้านการชาร์จไฟให้กับโน้ตบุ๊กได้เต็มประสิทธิภาพนั้น ก็น่าจะทำความเข้าใจในเรื่องแบตเตอรี่ รอบการชาร์จพลังงาน รวมถึงการดูแลรักษาแบตเตอรี่ให้สามารถอยู่ได้ยาวนานกันก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาเรื่องเข้าใจผิดที่หลายๆ คนยังทำกันอยู่ ก็จะได้ทำความเข้าใจกันใหม่อีกครั้ง เพื่อเป็นการยืดอายุในการใช้งานแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กให้ยาวนานยิ่งขึ้น

การดูแลรักษาแบตเตอรี่โน้ตบุ๊ก

วิธีการดูแลรักษาแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กนั้นทำได้ด้วยกันหลายวิธี ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องใกล้ตัว แต่กลับถูกมองข้ามและส่งผลต่อประสิทธิภาพในการจัดเก็บประจุของแบตฯ อยู่ไม่น้อย เช่น
หลีกเลี่ยงการจัดเก็บแบตฯ ภายใต้สภาวะที่อาจจะส่งผลเสียกับแบตฯ ได้โดยตรง ไม่ว่าจะเป็นในบริเวณที่มีความร้อนหรือความชื้นสูง เช่นในรถยนต์ที่จอดกลางแดดหรือใกล้บริเวณที่มีโอกาสสัมผัสกับละอองน้ำ เป็นต้น เพราะอาจทำให้แบตฯ ทำงานผิดปกติจากออกไซด์ที่ขั้วแบตฯ รวมถึงลดประสิทธิภาพในการเก็บประจุ 
ลดการโหลดพลังงานของแบตเตอรี่ หมายถึงการลดการต่อพ่วงหรือใช้พลังงานจากแบตฯ อย่างสิ้นเปลืองเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการต่อพ่วงอุปกรณ์จำนวนมากพร้อมๆ กันหรือการเปิดการเชื่อมต่อระบบเครือข่าย แม้ไม่ได้มีการใช้งานอยู่ก็ตาม รวมถึงการปรับความสว่างของหน้าจอให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดการใช้พลังงานของแบตฯ ลงให้ได้มากที่สุดและลดการเกิดความร้อนนั่นเอง
ให้แบตฯ ได้มีโอกาสได้คลายประจุออกบ้าง โดยจะเป็นเหมือนการเคลียร์ประจุที่ค้างอยู่ในแบตฯ ออกให้ได้มากที่สุด ซึ่งจะทำให้การจัดเก็บประจุในครั้งต่อไปทำได้ดียิ่งขึ้น เหมือนเป็นการทำความสะอาดให้กับตัวเก็บประจุของแบตฯ นั่นเอง ส่วนวิธีการคลายประจุจะทำได้อย่างไรนั้น สามารถติดตามได้ในส่วนของท้ายบทความนี้ ในหัวข้อ การ Calibrate Battery 
ไม่ควรปล่อยหรือใช้งานแบตเตอรี่จนหมดหรือใช้จนแบตฯ เหลือน้อยกว่า 10% เพราะอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพการเก็บประจุในระยะยาว 

CPUID Hardware Monitor อีกวิธีการตรวจสอบแบตฯ

ถือเป็นตัวช่วยที่น่าสนใจในการตรวจสอบระดับการเก็บประจุของแบตเตอรี่ โดยที่โปรแกรม CPUID Hardware Monitor สามารถแสดงสถานะในการเก็บประจุ ซึ่งดูได้จากหัวข้อ Battery เปรียบเทียบกันในส่วนที่เป็น Design Capacity ที่เป็นความจุเดิมของแบตฯ เทียบกับ Full Charge Capacity หรือการชาร์จไฟแบบเต็มที่ในปัจจุบัน ถ้าผลใน Full Charge ต่ำกว่า Design Capacity ก็อาจหมายถึงมีการเสื่อมของแบตฯ เกิดขึ้นให้เห็นนั่นเอง แต่ถ้าต้องการตัวเลขที่เป็นสัดส่วน ก็ให้ดูในหัวข้อ Wear Level ซึ่งจะบอกผลเป็นเปอร์เซนต์ได้ชัดเจนขึ้น
จากปัญหาทั้งหมดจะเห็นได้ว่า โอกาสที่แบตฯ ไม่สามารถเก็บประจุได้ 100% เหมือนเดิมเกิดขึ้นได้ง่ายมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อใช้งานแบบไม่ได้เอาใจใส่ดูแลที่ดีพอสมควร ก็มีผลให้การเสื่อมของแบตฯ มากขึ้นตามไปด้วย

Calibrate Battery คืนความสดใหม่ให้แบตเตอรี่

ในการทำ Calibrate Battery นั้น แม้ว่าจะไม่ได้เป็นการคืนสภาพทั้งหมดให้กับแบตเตอรี่ที่ใช้อยู่ก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นการรีเฟรชหรือการคลายประจุเพื่อให้แบตเตอรี่ได้กลับมาสดใหม่อีกครั้ง ลักษณะการ Calibrate นั้น มีด้วยกันหลายกระแส แต่ก็เป็นไปในแนวทางเดียวกันคือ การชาร์จประจุให้เต็ม จากนั้นทำการคลายประจุให้หมด แต่ต้องทำเป็นขั้นตอน ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะมีรูปแบบการทำงานดังนี้

1
ขั้นแรกให้ชาร์จแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กที่ใช้จนเต็ม ไม่ว่าจะขึ้นเป็น 100% หรือหากมีตัวเลขของการชาร์จได้เต็มแล้ว ไม่ว่าระบบจะหยุดชาร์จที่กี่เปอร์เซนต์ก็ตาม ก็ให้ชาร์จต่อเนื่องไปอีกสักระยะ
2
สังเกตว่าเมื่อชาร์จจนระบบแจ้งว่าหยุดการเก็บประจุแล้ว ยังให้ชาร์จแล้วปล่อยทิ้งเอาไว้อีกประมาณ 1-2 ชั่วโมง
3
ถอดสายชาร์จออกจากเครื่อง แล้วใช้งานจนกว่าแบตฯ จะหมด ซึ่งต้องเข้าไปดูค่าในส่วนของ Power Plan ด้วย เพราะบางครั้งเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมด อาจจะเข้าไปอยู่ในโหมด Sleep แทน ซึ่งต้องให้มั่นใจว่าระบบใช้แบตฯ จนหมดจริงๆ
4
จากนั้นทิ้งให้เครื่องหยุดทำงานไป เพื่อให้มีการคลายประจุอย่างเต็มที่ อาจจะใช้เวลา 5-6 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น
5
เปิดเครื่องพร้อมกับการชาร์จไฟใหม่จนเต็ม 100% แล้วใช้งานตามปกติต่อไป
6
รูปแบบการ Calibrate ดังกล่าว อาจจะต้องมีระยะในการทำ อาจจะเดือนละครั้งหรือขึ้นอยู่กับความถี่ในการชาร์จของแต่ละวัน

ACPI Compliant Control Method Battery

ในบางครั้งการเกิดปัญหาในส่วนของการรายงานระบบการชาร์จ ก็ไม่ได้เกิดจากความเสื่อมถอยของแบตเตอรี่เสียทีเดียว แต่อาจจะเกิดจากการที่ระบบจัดการไดรเวอร์ของแบตเตอรี่ ACPI Compliant Control Method Battery ทำงานผิดปกติ ในกรณีนี้สามารถแก้ไขได้ ด้วยการติดตั้งไดรเวอร์เข้าไปใหม่ เพื่อปรับปรุงการทำงานของซอฟต์แวร์ใหม่อีกครั้ง ส่วนวิธีการนั้นทำได้โดย

1
เข้าไปที่การทำงานของ Device Manager
2
คลิกที่ปุ่มสามเหลี่ยมซ้ายมือหน้าหัวข้อ Battery
3
ในแถบของ Batteries category ให้คลิกขวาที่ Microsoft ACPI Compliant Control Method Battery แล้วเลือก Uninstall
ข้อควรระวัง ไม่ควรลบหรือ Delete ไดรเวอร์อื่นใดใน Microsoft AC Adapter driver หรือ ACPI compliant driver โดยเด็ดขาด 
4
ไปที่แถบเมนูด้านบน แล้วคลิกที่หัวข้อ Scan for hardware changes. เลือกที่ Action แล้วคลิกที่ Scan for hardware changes เพื่อทำการ Reinstall อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยวิธีการต่างๆ เหล่านี้ ถือว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้แบตเตอรี่ที่เคยมีปัญหาในการชาร์จกลับคืนสภาพมาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าจากเดิมก่อนที่จะมีปัญหานั้น มีการดูแลหรือมีรูปแบบการใช้งานเป็นเช่นไร ซึ่งแน่นอนว่าปัญหาบางอย่างก็ไม่สามารถกลับคืนมาให้ดีเหมือนใหม่ได้ แต่ก็พอที่จะบรรเทาเบาบางลงได้บ้าง

แบตแท้ vs แบตเทียบ

สำหรับผู้ที่ใช้โน้ตบีกมาสักปี 2 ปีปัญหาหนึ่งที่มักจะเจอกันก็คือแบตเตอรี่เสื่อม?ซึ่งถ้าใช้เครื่องมาระดับนี้การเสื่อมของแบตเตอรี่ถือเป็นเรื่องปรกตินะครับ แม้ท่านจะทำวิธีใดก็ตามแบตเตอรี่ที่ท่านใช้ๆอยู่ก็ย่อมต้องเสื่อมไปตามการเวลาเป็นปรกติครับ หลายๆท่านอาจจะเลือกที่จะต่อ Adapter ตลอดเวลา หรือไม่ก็ซื้อเครื่องใหม่ไปเลย แต่อีกหลายๆท่านก็ยังจำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่อยู่ (และก็ไม่มีตังซื้อเครื่องใหม่) การซื้อแบตเตอรี่ใหม่จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเพราะราคาถูกกว่าซื้อเครื่องใหม่ และก็ทำให้โน้ตบีกใช้งานแบตเตอรี่ได้เหมือนเดิม
image
แต่ก็จะมีคำถามที่ผมเจอบ่อยๆก็คือ ซื้อแบตแท้ หรือซื้อแบตเที่ยบดีกว่ากันละ ซึ่งอันนี้จริงๆทั้ง 2 แบบก็มีจุดเด่นจุดด้อยแตกต่างกันไปนะครับ
แบตแท้
จุดเด่น
  • ผู้ผลิตการันตีได้ถึงคุณภาพ ใช้งานได้เต็มที่ไม่มีปัญหา
  • การรับประกันที่เชื่อถือได้
จุดด้อย
  • ราคาสูง
  • อาจจะต้องรอสั่งของนาน
แบตแท้จุดเด่นสุดก็คือเรื่องของคุรภาพที่เชื่อถือได้ เพราะผลิตโดยผู้ผลิตเอง หรือจากบริษัทที่เชื่อถือได้ผลิตจึงสามารถมั่นใจได้ แต่แน่นอนว่าก็ต้องแลกมากับราคาแบตเตอรี่ที่สูงสักหน่อย บางรุ่นเก่าๆหน่อยอาจจะต้องรอสังด้วยเพราะผู้ผลิตเองก็ไม่กล้าสั่งมาสต๊อกมาเก็บไว้ แบตมันก็จะเสื่อมเองเปล่าๆ แบตเทียบจึงเป็นอีกทางเลือก
image
แบตเทียบ
จุดเด่น
  • ราคาถูกกว่าแบตแท้
  • ไม่ต้องรอสั่งนานบางรุ่นฮิตๆมีขายเลย
  • ผู้ผลิตแบตบางแบรนด์ ก็เป็นผู้ผลิตให้เครื่องแบรนด์ด้วยซ้ำ
จุดด้อย
  • ดูผู้ผลิตที่ดีหน่อยเพื่อการรับประกันและคุณภาพ
  • แบตเตอรี่จากผู้ผลิตโนเนมอาจไม่ได้คุณภาพ ใช้งานได้ไม่นาน
แบตเทียบเองก็มีจุดด้อยตรงที่เราต้องดูยี่ห้อของแบตเตอรี่ที่มีชื่อดังหน่อย มีชื่อบริษัทนำเข้า หรือโรงงานผลิตชัดเจน ยิ่งถ้ามีตรา มอก. ก็จะยิ่งทำให้เรามั่นใจได้มาก ในคุรภาพของแบตเตอรี่ และผู้ผลิตแบตเตอรี่บางแบรนด์เองก็เป็นผู้ผลิตให้โน้ตบีกแบรนด์ดังๆเสียด้วยซ้ำไปครับ ประกอบกับราคาที่ไม่สูงมาก และถ้าเป็นรุ่นฮิตๆที่ขายกันเยอะๆเช่นของ Acer ASUS ก็มีของเลยไม่ต้องรอสั่ง จึงยิ่งทำให้แบตเทียบน่าสนใจยิ่งขึ้น
image
สุดท้ายปัจจุบันแบตเทียบก็ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่งบประมาณจำกัด แต่อยากเปลี่ยนแบตเตอรี่ก้อนเก่าที่เสื่อมแล้วเป็นแบตตัวใหม่ใสปิ้ง อีกทั้งปัจจุบันผู้ผลิตแบตเตอรี่เทียบหลายๆเจ้าก็พยายามพัฒนาคุณภาพให้เทียบเท่าแบตแท้จากผู้ผลิตโน้ตบุ๊ก โอกาสที่แบตเทียบจะมีปัญหาใช้งานได้ไม่เต็มที่หรือแบตเตอรี่ระเบิดก็มีโอกาสน้อย เพียงแต่ว่าเราต้องดูชื่อผู้ผลิตหรือนำเข้าให้มันใจ ยิ่งถ้าเป้นแบรนด์ที่ขายมานานหรือเป็นที่รู้จักก็จะช่วยให้เรามั่นใจขึ้นได้มากเลยทีเดียว แต่ถ้าท่านมีงบประมาณสูงขึ้นมาอีกสักหน่อยแบตแท้ก็เป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ที่ต้องการแบตเตอรี่คุณภาพสูง เชื่อถือได้และสามรรถเข้ากับโน้ตบุ๊กของเราได้ 100%

7 วิธีการประหยัดแบตเตอรี่โน้ตบุ๊กง่ายๆ ทำได้เอง

โน้ตบุ๊กออกแบบให้เป็นคอมพิวเตอร์ที่นำติดตัวไปใช้งานนอกสถานที่ได้โดยสะดวก แต่มีข้อจำกัดเรื่องแบตเตอรี่ว่าเป็นตัวกำหนดว่าเครื่องนั้นๆ จะสามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานกี่ชั่วโมงซึ่งใครๆ ก็อยากจะให้ใช้งานต่อเนื่องให้ได้นานที่สุดแน่นอน ดังนั้นครั้งนี้เราจะมาดูวิธีการตั้งค่าตัวเครื่องให้ประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้นกัน
ถึงจะเป็นเกมมิ่งโน้ตบุ๊กก็สามารถทำให้ใช้งานต่อเนื่องได้นานกว่าเดิม
1
ตั้งค่าความสว่างหน้าจอให้พอดีต่อการใช้งาน เพราะหน้าจอเป็นส่วนที่สิ้นเปลืองพลังงานมากที่สุดสำหรับโน้ตบุ๊ก ดังนั้นเวลาเราจะนำไปใช้งานนอกสถานที่ล่ะก็ควรปรับตั้งความสว่างหน้าจอให้สว่างกำลังดี ไม่มืดจนเกินไปเพื่อยืดระยะเวลาใช้งานแบตเตอรี่ให้ยาวนานขึ้น รวมไปถึงโน้ตบุ๊กใครที่มีไฟคีย์บอร์ด Backlit ก็ปิดหรือเปิดให้สว่างพอดีก็ช่วยได้นะครับ
 
เวลาจะปิดใช้งานอุปกรณ์ไหนก็อ่านดีๆ ก่อนนะ!
2
ปิดการทำงานของอุปกรณ์บางชิ้นที่เราไม่ได้ใช้งาน เช่นปริ้นเตอร์หรืออุปกรณ์เชื่อมต่อเสริมบางตัว โดยเราสามารถปิดการทำงานได้ที่ Device Manager โดยคลิกขวาที่ My Computer แล้วเลือก Properties จะมีคำสั่ง Device Manager อยู่ที่แถบฝั่งซ้ายมือที่คำสั่งแรกสุด (อ้างอิง Windows 8 )
 
3
ตั้งค่าที่ส่วนของ Power Option โดยให้เราคลิกซ้ายที่รูปแบตเตอรี่ตรง Taskbar ฝั่งขวามือแล้วเลือกที่คำสั่ง More power options ที่เป็นคำสั่งล่างสุด จากนั้นจะมีแถบช่องให้เลือกเป็น Balance คือใช้พลังงานแบบปกติหรือ Power Saver ที่เป็นฟังก์ชั่นประหยัดพลังงานของโน้ตบุ๊ก
 
4
ลดการแสดงผลสามมิติ โดยเฉพาะฟังก์ชั่นการเปลี่ยน Wallpaper ไปเรื่อยๆ ของ Windows 7 เป็นต้นมา ถึงจะสวยแต่ใช้พลังงานมากและกินทรัพยากรเครื่องพอสมควร ดังนั้นเวลาเราจะนำโน้ตบุ๊กไปใช้งานนอกสถานที่ล่ะก็ แนะนำให้ตั้ง Wallpaper ให้เป็นแบบเดียวจะดีกว่า
 
5
ตั้งค่าแจ้งเตือนเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดและตั้งให้ตัวเครื่องอยู่ในโหมด Hibernate ซึ่งเมื่อแบตเตอรี่ลดลงถึงระดับหนึ่ง (เช่น 10%) ตัวเครื่องจะแจ้งเตือนว่าแบตเตอรี่ในตอนนี้เหลือไม่มาก ควรเซฟงานและหาทางชาร์จไฟเข้าเครื่องจะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยให้ประหยัดพลังงานมากขึ้น
 
อันนี้เป็นการตั้งค่าโน้ตบุ๊กของทางทีมงานเอง
ด้านการตั้งค่าโหมดต่างๆ ของตัวเครื่องควรตั้งเป็น Hibernate จะทำให้โน้ตบุ๊กอยู่ในโหมดเตรียมพร้อมบูตกลับมาทำงานได้เสมอและไฟล์งานไม่เกิดความเสียหาย นอกจากนี้โหมด Hibernate จะไม่ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่อีกด้วย ผิตกับโหมด Sleep ที่จะยังพึ่งพาพลังงานจากแบตเตอรี่อยู่
6
งดการใช้แผ่น CD เพื่อประหยัดพลังงาน เพราะการดูหนังฟังเพลงผ่านแผ่น CD จะทำให้ตัวเครื่องดึงพลังงานจากแบตเตอรี่มาใช้มากขึ้น ทำให้สิ้นเปลืองพลังงานมากกว่าเดิม
 
7
เพิ่มหน่วยความจำ (แรม) ให้เพียงพอต่อการใช้งาน ซึ่งเรื่องนี้อาจจะดูไม่เกี่ยวกันนัก แต่ถ้าข้อมูลที่ต้องประมวลผลมีมากเกินไปจนแรมไม่สามารถรับได้ ตัวระบบจะนำข้อมูลบางส่วนไปพักเอาไว้ที่ฮาร์ดดิสก์ ทำให้ฮาร์ดดิสก์ต้องทำงานตลอดเวลา ซึ่งการที่ฮาร์ดดิสก์ทำงานตลอดเวลานอกจากจะทำให้อายุการใช้งานลดลงแล้วยังทำให้แบตเตอรี่หมดเร็วขึ้นอีกด้วย
 


ซึ่งถ้าใครไม่แน่ใจว่าโน้ตบุ๊กของเรามีแรมเพียงพอหรือยังก็สามารถดูได้ตามเกณฑ์ง่ายๆ ดังนี้ เครื่องที่ใช้ทำงานทั่วไปเช่นงานเอกสารหรือท่องอินเตอร์เน็ตเป็นหลัก ไม่ประมวลผลกราฟิกมากๆ อาจตัดต่อภาพหรือวิดีโอบ้าง แรมประมาณ 4 GB ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว แต่ถ้าเน้นการตัดต่อไฟล์ภาพวิดีโอหรือใช้ออกแบบงานทางสถาปัตยกรรมด้วยก็แนะนำให้ติดตั้งแรมเอาไว้ราว 8 GB ขึ้นไปจะดีที่สุด
ทั้งหมดนี้เป็นวิธีการง่ายๆ ที่จะทำให้โน้ตบุ๊กของเพื่อนๆ สามารถใช้งานต่อเนื่องได้นานยิ่งขึ้น ซึ่งทางทีมงานแนะนำเพิ่มเติมว่าเราควรจะเตรียมอะแดปเตอร์ติดตัวไปด้วยเวลานำออกไปใช้งานนอกสถานที่ เพราะเมื่อแบตเตอรี่ใกล้หมดแล้วเจอปลั๊กก็สามารถชาร์จไฟเข้าเครื่องได้ในทันที